เพื่อเป็นการเสริมสร้างจิตใจ เติมความเป็นสิริมงคลให้กับชีวิตในช่วงเริ่มต้นปีใหม่ ลิปส์จึงขอพาไปเยือน ‘พระปรางค์วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร‘ ศาสนสถานที่เชื่อกันว่าหากได้มาสักการะแล้ว จะเสริมชะตาให้พบกับความรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน ตามคำโบราณที่ว่า ‘ไหว้พระอรุณ ชีวิตโรจน์รุ่งทุกวันคืน’ โดยสถานที่แห่งนี้ไม่เพียงแต่อยู่คู่คนไทยมาอย่างช้านาน แต่ยังเต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และรูปแบบสถาปัตยกรรมที่งดงาม จนควรค่าแก่การมาเยือนให้ได้สักครั้งในชีวิต
วัดอรุณราชวรารามเป็นศาสนสถานคู่บ้านคู่เมืองมาอย่างยาวนาน นอกจากจะประกอบไปด้วยพระอุโบสถ พระวิหารหลวง หอสมุดสมเด็จพระพุฒาจารย์ ฯลฯ ภายในยังเป็นที่ตั้งของสถาปัตยกรรมไทยที่สวยงามและมีเอกลักษณ์คือ พระปรางค์ขนาดใหญ่ ประกอบด้วยปรางค์ประธานและปรางค์รองอีก 4 ปรางค์ โดยตัวพระปรางค์ที่เห็นในปัจจุบันนี้มิใช่ของเดิม เพราะพระปรางค์เดิมที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยามีความสูงเพียง 16 เมตร แต่พระปรางค์ในปัจจุบันมีความสูง 81.85 เมตร
ศิลปะของพระปรางค์วัดอรุณฯ โดดเด่นด้วยการประดับกระเบื้องถ้วยและกระจกสีต่างๆ เป็นลวดลายดอกไม้และลายอื่นๆ โดยสถาปัตยกรรมของพระปรางค์ยังแฝงไว้ด้วยเรื่องราวของไตรภูมิตามความเชื่อ โดยเมื่อเราเดินผ่านประตูรั้วขององค์ปรางค์ที่เปรียบเสมือนกำแพงของจักรวาลเข้าไป พื้นลานกว้างเปรียบได้กับท้องทะเลสีทันดร กลางทะเลมีเขาพระสุเมรุซึ่งก็คือ “องค์ปรางค์” แวดล้อมด้วยปรางค์สี่ทิศอันเป็นตัวแทนของสี่ทวีป ซึ่งในไตรภูมิก็คืออุตรกุรุทวีปด้านทิศเหนือ บุรพวิเทหทวีปด้านตะวันออก อมรโคยานทวีปด้านตะวันตก และชมพูทวีปด้านทิศใต้ซึ่งเป็นที่อาศัยของมนุษย์ บริเวณฐานพระปรางค์มีสัตว์ป่าหิมพานต์ เช่น กินรี สูงขึ้นไปเป็นลำดับชั้นคือ ยักษ์ ลิง และเทวดาที่อยู่สวรรค์ชั้นล่างสุด ช่วยกันแบกเขาพระสุเมรุ ถัดขึ้นไปเป็นส่วนเรือนธาตุของพระปรางค์หรือยอดเขาพระสุเมรุอันเป็นที่ตั้งของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ในไตรภูมิ มีรายละเอียดของซุ้มทิศซึ่งประดับด้วยปูนปั้นรูปพระอินทร์เจ้าผู้ปกครองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ทรงช้างเอราวัณ
วัดอรุณราชวรารามยังเป็นที่พำนักของ ‘ยักษ์วัดแจ้ง’ อันโด่งดัง เคียงคู่กับ ‘ยักษ์วัดโพธิ์’ หรือวัดพระเชตุพนฯ ในฝั่งพระนคร ปัจจุบันยักษ์วัดแจ้งมีสองตน ยืนอยู่หน้าโบสถ์วัดอรุณฯ กายสีขาวชื่อสหัสเดชะ กายสีเขียวชื่อทศกัณฐ์ ปั้นด้วยปูนประดับกระเบื้องเคลือบสี ส่วนยักษ์วัดโพธิ์ซึ่งอยู่บริเวณทางเข้าพระมหาเจดีย์ เป็นยักษ์ศิลปะแบบจีนสลักจากหินหรือที่เรียกว่าอับเฉา ซึ่งชาวจีนใช้ถ่วงใต้ท้องเรือสำเภา
ย่านเมืองเก่าที่วางตัวเลียบไปกับแม่น้ำเจ้าพระยา ยังมีอาคารบ้านเรือนเก่าแก่อายุเฉียดศตวรรษ รวมถึงสถานที่กินดื่มรสชาติดี ที่มีความงามของโครงสร้างสถาปัตยกรรมในแบบโบราณให้ได้ชื่นชม ด้วยเหตุนี้เราจึงคัดสรรร้านอาหารและเครื่องดื่มที่เดินทางจากวัดอรุณฯ ได้เพียงแค่โดยสารเรือข้ามฟาก เพื่อเป็นทางเลือกให้หย่อนใจหลังจากสักการะวัดคู่บ้านคู่เมือง
ร้านอาหาร home-cooked สไตล์จีน-ไทย ในย่านท่าเตียน ที่เมื่อ 40 ปีก่อนตึกแถวหลังนี้เคยเป็น shop house ขายส่งสินค้าอุปโภคบริโภคภายใต้ชื่อ ธนาภัณฑ์ จนกระทั่งวันหนึ่งพื้นที่ดังกล่าวเปลี่ยนผ่านกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของมหานคร สมาชิกในบ้านจึงเลือกปรับกิจการเดิมให้เข้ากับท่าเตียนยุคใหม่ จนกลายเป็นร้านอาหารรสดี ที่ตั้งใจเปิดบ้านเพื่อนำเสนอเมนูของครอบครัวให้กับผู้มาเยือน
ธนาปรุงอาหารด้วยของสดและของแห้งจากตลาดใกล้ตัว ทั้งตลาดท่าเตียน ปากคลอง ตรอกหม้อ วังหลัง เช่น ปลาเค็มจากร้านเจ๊จุก และไข่เค็มจากร้านอี่ฮงไถ่ในตลาดท่าเตียน กุนเชียงจากร้านอี้เจ็งในเยาวราช ฯลฯ เชื่อมโยงวิถีชีวิตท้องถิ่นลงในทุกเมนูอาหาร เราได้มีโอกาสลองเมนูหมูสับปลาเค็ม ข้าวหน้าหมูธนา และเกี๊ยวไข่เค็มดินทะเลออร์แกนิก ฯลฯ ยืนยันว่าอร่อยทุกจาน อย่าลืมปิดท้ายด้วยน้ำรากบัวที่หวานชื่นใจกำลังดี
สมาชิกในครอบครัวดัดแปลงบ้านหลังเก่า ตกแต่งให้เป็นสไตล์ไทย-จีนร่วมสมัย ประดับประดาด้วยของเก่าในบ้าน เช่น ตราชั่งสมุนไพร ตู้เซฟโบราณ ตู้ยาจีน โดยคงบรรยากาศความเป็นครอบครัวตลอดหลายทศวรรษ ด้วยวิถีชีวิตที่เคียงคู่ไปกับ
ลมหายใจของย่านท่าเตียน
TANA (ธนา)
ซอยท่าเรือแดง (ท่าเตียน)
โทร 0 2222 3480
Facebook TANA Bangkok
Text : THANYALAK
Photography : TINNAKARN