Search
Close this search box.
Search
Close this search box.
HOME / Interview / People

‘มิ้ม-รัตนวดี วงศ์ทอง’ สาวตาใสที่สยองเว่อร์ใน ‘ธี่หยด’ ร้ายหมดจดใน ‘นางร้ายไทยแลนด์’

Interview / People

ดาวรุ่งวัยย่าง 20 มิ้ม – รัตนวดี วงศ์ทอง ผู้เป็นภาพจำของตัวละคร ‘แย้ม’ เด็กมัธยมผมสั้นประบ่าในหนังผี ‘ธี่หยด (Death Whisperer)’ ที่ทุบสถิติรายได้เปิดตัวสูงสุดของภาพยนตร์ไทยของปี 2023 จนมิ้มเดินสายคว้ารางวัลนักแสดงดาวรุ่งกันข้ามปี 

จะมีนักแสดงสักกี่คนที่แผ่คลื่นความหลอนจนขนหัวลุก หลังจากโปรยเสน่ห์ไร้เดียงสาให้เราหลงเชื่อได้อย่างสนิทใจเฉกเช่นมิ้ม และในเวลาไล่เลี่ยกัน เธอปรากฏตัวในฐานะผู้เข้าแข่งขันเบอร์ 012 ของรายการเรียลลิตีน้องใหม่ ‘นางร้ายไทยแลนด์’ และทำให้ผู้จัดละครมือทอง ต่าย – นัฐฐพนท์ ลียะวณิช เอ่ยปากชมเปาะว่าเธอสวย ครบ เก่ง สามารถแสดงบทนางร้ายได้อย่างเป็นมนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้น ผู้กำกับรุ่นใหญ่ สถาพร นาควิไลโรจน์ ถึงกับขอจองตัว หลังเห็นฝีมือของมิ้มในการรับบท ‘เรยา’ จนแทบอยากรีเมกละครสุดแซ่บที่ตนเคยกำกับไว้เมื่อ 2 ปีก่อน

คุณพ่อของมิ้มเป็นลูกครึ่งไทย – ออสเตรเลีย จึงไม่น่าแปลกที่เธอจะดูละม้ายคล้ายสาวฝรั่ง แก้มบุ๋ม – ปรียาดา สิทธาไชย นางร้ายตัวควีนผู้มาก่อนกาลเคยให้ความเห็นไว้ว่า ดวงตากลมโตที่โดดเด่นของมิ้มสามารถส่งให้เธอเป็นได้ทั้งนางร้ายและนางเอก เช่นเดียวกับเจ้าตัวที่บอกเราว่าดวงตาเป็นส่วนที่เธอชอบที่สุดในร่างกาย

 “ปกติมิ้มชอบหน้าด้านซ้ายของตัวเองมากกว่าค่ะ แต่เพิ่งเห็นว่าด้านก็นี้ดีเลย” สาวหน้าหวานกล่าวด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย หลังเห็นภาพพอร์เทรตของตนเองในมุมมองใหม่โดยฝีมือช่างภาพสุดเก๋าของ LIPS

ไม่บ่อยนักที่เราจะได้พบเจอกับนักแสดงที่บุคลิกเรียบร้อย พูดน้อย ทว่ากล้าแสดงออกสุดพลังเมื่อเปิดสวิตช์การทำงาน เธอโพสท่าถ่ายแบบอย่างตั้งอกตั้งใจ ไม่ต่างจากการแสดงที่เธอรักและฝึกฝนด้วยตนเองมาโดยตลอด

“เราเป็นคนที่ไม่เก่งอะไรเลยค่ะ บางอย่างเลยต้องพยายามมากกว่าคนอื่น เพราะมีคนที่เขาพร้อมกว่าเราเยอะ” มิ้มเปิดใจอย่างตรงไปตรงมาและเป็นกันเอง เธอไม่เคยลงเรียนการแสดงจนถึงปัจจุบัน ไม่เคยผ่านการประกวดเวทีไหน หรือเซ็นสัญญาเข้าสังกัดใดมาก่อน

“ตอนเด็กๆ มิ้มไม่เคยแคสต์โฆษณาได้สักตัว” เธอย้อนเล่าถึงเส้นทางในวงการบันเทิงกว่า 10 ปีที่เริ่มจากงานเดินแบบที่สยามพารากอน และเล่นละครในฐานะนักแสดงเด็ก หลังได้รับคำชักชวนจากคุณแม่ของเพื่อนในโรงเรียน ขณะศึกษาอยู่ชั้นประถมปีที่ 2

“พอเดินแบบเสร็จก็ได้เล่นซีรีส์เรื่องแรก ‘Full House: วุ่นนักรักเต็มบ้าน’ (ปี 2557) หลังจากนั้นก็เป็นนักแสดงเด็ก ฝึกตีความตัวละครมาเรื่อยๆ ส่วนโฆษณาเหมือนจะได้แค่ 1-2 ตัว หลังจากที่เริ่มจับทางถูกค่ะ เท่าที่จำได้มีโฆษณาไอศกรีมวอลล์”

ทว่าผลงานที่ทำให้มิ้มดูจะเป็นที่รู้จักครั้งแรกก็คือบทพรรณษาวัยคอซองจากละคร ‘วาสนารัก’ (ซึ่งเพื่อนร่วมแก๊งนักแสดงเด็กอย่างอ๊ะอาย 4EVE และยอร์ช ยงศิลป์ แห่งวง POW ได้เติบโตเป็นไอดอลแห่งชาติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว) ก่อนที่มิ้มจะได้โอกาสท้าทายตัวเองครั้งใหญ่ในบท ‘แย้ม’ ตัวละครสุดลึกลับที่ได้รับความสนใจไปถึงวงการสาธารณสุข จนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญออกมาให้ความรู้เกี่ยวกับ ‘อาการผีน้าแย้ม’ กันเป็นแถว

LIPS: บอกตัวเองอย่างไรให้ยังคงก้าวเดินในเส้นทางนี้ตลอด 10 กว่าปีทั้งที่ผิดหวังมาไม่น้อย ในความเป็นเด็กนั้นรู้จักความท้อแท้ไหม

มิ้ม: มีท้อบ้างค่ะว่าทำไมเราไม่ได้สักงาน ทั้งที่แคสต์ไปตั้งเยอะ ทั้งโฆษณา ทั้งละคร จนบางครั้งก็รู้สึกว่า “หรือเราไม่ควรไปแคสต์แล้ว? วงการนี้อาจจะไม่ใช่ที่ของเรา” แต่อีกใจหนึ่ง มิ้มคิดว่าทุกคนมีจังหวะชีวิตเป็นของตัวเองค่ะ เมื่อไรที่เราได้รับโอกาสก็ต้องทำให้ดีที่สุด ทำต่อไปเรื่อยๆ ถ้าจังหวะนั้นจะเป็นของเรา เดี๋ยวมันก็เป็นของเรา ทุกอย่างต้องใช้เวลา

LIPS: หลังๆ จับทางอย่างไรว่าต้องแคสต์แบบไหนถึงจะได้งาน

มิ้ม: อย่างโฆษณาของกิน มิ้มว่าเขาน่าจะชอบอะไรที่โอเวอร์แอ็กติง ฉะนั้นเวลาแคสต์ เราจะกินแบบ หืม… (ทำหน้าอร่อยพื้นๆ) ไม่ได้ เราต้อง…อื้อหืมมมม แบบนี้ค่ะ (ลากเสียงพร้อมสาธิตการทำหน้าฟินสุดติ่ง) ต้องเพิ่มความโอเวอร์แอ็กติงเข้าไป แต่ถ้าเป็นการแคสต์หนังหรือละคร เราจะแสดงสีหน้าปกติเหมือนใช้ชีวิตประจำวัน

LIPS: เป็นมาอย่างไรถึงได้เข้าร่วมแคสติงเป็นนักแสดงหนัง ‘ธี่หยด’

มิ้ม: ฝ่ายแคสติงทักเฟซบุ๊กหาคุณแม่ค่ะ เพราะปกติมิ้มไม่ได้เล่นเฟซบุ๊ก แต่คุณแม่ไม่ได้อ่านข้อความ ทีมงานก็เลยลองไดเร็กต์ไอจีมาหา บอกว่ากำลังจะมีเปิดแคสติงเรื่องใหม่ เขาไม่ได้บอกชื่อเรื่องนะคะ บอกแค่ว่าถ้าแคสต์ผ่านต้องตัดผมสั้น เราก็เริ่มคิดแล้วว่าหรือจะต้องกลับมาเล่นเป็นตัวละครเด็กอีก ตอนนั้นมิ้มใส่เหล็กดัดฟัน และไว้ผมยาวมาตลอด ไม่เคยตัดผมสั้น เลยเริ่มรู้สึกว่าไม่น่าจะมั่นใจ แต่พอเขาพูดว่าจะได้เล่นกับพี่แบร์ (ณเดชน์ คูกิมิยะ รับบท ‘ยักษ์’ พี่ชายของแย้ม) เท่านั้นแหละ เรารีบตอบตกลงไปแคสต์ทันที (ยิ้ม)

LIPS: เตรียมตัวอย่างไรบ้างสำหรับโอกาสครั้งใหญ่ ฉากไหนที่เขาใช้วัดความสามารถของเราในการรับบทแย้ม

มิ้ม: พอทีมงานส่งบทมาให้เตรียมตัว มิ้มก็พยายามตีความค่ะว่าเราควรดีไซน์ตัวละคร ‘แย้ม’ ให้ออกมาเป็นรูปแบบไหน และลองเล่นคนเดียวหน้ากระจก เพื่อดูว่าแบบไหนน่าจะโอเคที่สุด วันแคสต์ พี่ๆ เขาอยากเห็นการแสดงของเรา 3 ฉากค่ะ มีฉากที่อ้วกลงพื้นหลังผีเข้า ฉากที่ต้องเล่นกับพี่แบร์ และฉากที่ขึ้นชิงช้าสวรรค์ คือต้องอาศัยจินตนาการในการแสดงสุดๆ

มิ้มกลายร่างเป็น ‘แย้ม ธี่หยด’ 

LIPS: มิ้มดีไซน์อย่างไรสำหรับ 2 คาแรกเตอร์ที่แตกต่างกันสุดขั้วในตัวละครเดียวกัน คือทั้งน่ารักไร้เดียงสา และหลอนขนลุก

มิ้ม: มิ้มว่าแย้มเป็นคนที่ไม่ได้คิดอะไรเยอะ อ่อนต่อโลก ด้วยความที่เป็นลูกสาวคนรองสุดท้อง ร่าเริง สดใส มองโลกในแง่ดีแบบเด็กๆ ส่วนคาแรกเตอร์ที่แย้มโดนผีเข้า เราต้องหาความต้องการของผีก่อนค่ะ เราต้องรู้ว่าในแต่ละซีนผีต้องการอะไร อย่างผีตนนี้ชอบเล่นกับจิตใจมนุษย์ บางซีนเขาอาจจะไม่ได้อยากหลอกคน แค่ไม่อยากคุยกับใคร แต่อยู่ๆ คนดันมายุ่งกับเขา เขาเลยกวนประสาทกลับ หรือบางซีนก็แค่อยากยั่วเฉยๆ เราต้องหาต้นสายปลายเหตุให้เจอก่อน

LIPS: ในบรรดาตัวละคร 6 พี่น้อง คือยักษ์ ยศ ยอด หยาด แย้ม ยี่ จริงๆ แล้วตัวตนของมิ้ม – รัตนวดี ใกล้เคียงกับตัวละครใดมากที่สุด

มิ้ม: แย้มนี่ล่ะค่ะ แย้มเป็นเด็กเรียบร้อย รักพี่รักน้องเหมือนเรา บ้านมิ้มก็มีพี่น้องเยอะ เรามีกันอยู่ 4 คน แต่มิ้มเป็นลูกคนโต อีกอย่างหนึ่งคือเราเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดเหมือนกัน บุคลิกคล้ายกัน เสียงเบาคล้ายกันด้วยค่ะ

LIPS: ปกติดูหนังผีหรือฟังรายการที่เล่าเรื่องผีอยู่แล้วไหม

มิ้ม: มีบ้างค่ะ ติดมาจากคุณแม่ เพราะเขาชอบฟังเรื่องผีมาก มิ้มก็แบบ เอาอีกแล้ว แม่ฟังอีกละ เวลาเปิดในมือถือ แม่ไม่ได้ฟังแค่คนเดียวนะคะ แต่เปิดเสียงออกลำโพง ล้างจานไปด้วย ฟังรายการผีไปด้วย บางทีก็ทำเป็นเดินผ่าน เหมือนหาคนฟังเป็นเพื่อน เราเลยต้องฟังไปด้วย ในรถก็เปิดค่ะ ไม่พลาด คุณแม่ติดหนักมาก

LIPS: ในภาวะจำยอมนั้น มิ้มฟังด้วยความรู้สึกไหน

มิ้ม: สนุกค่ะ แต่บางเรื่องก็น่ากลัวจริงนะ เวลาเราคิดภาพตามในหัว

“มิ้มอยากให้คนดูเห็นเราหลายๆ แนว ไม่ว่าจะเป็นบทผี เด็กผู้หญิงน่ารัก หรือนางร้าย มิ้มอยากเป็นนักแสดงที่เล่นได้ทุกบทบาท”

LIPS: แล้วพอต้องมาเล่นหนังผี ความรู้สึกจากใจในฐานะนักแสดงคือ…

มิ้ม: กลัวค่ะ เพราะตอนแรกจินตนาการว่าเขาจะตั้งกล้องไว้ แล้วให้เราเข้าไปอยู่ในฉากนั้นคนเดียวหรือเปล่า แล้วแต่ละฉากที่ถ่ายตอนกลางคืน มันต้องมืดขนาดไหน มันจะน่ากลัวมากไหม เราต้องพกพระ หรือพกอะไรไปกองถ่าย ต้องสวดมนต์ทุกวันหรือเปล่า ฯลฯ คือคิดไปเรื่อยค่ะ ออกแนวเพ้อเจ้อไปเลย

LIPS: พอได้เข้าฉากจริง มีสิ่งไหนเป็นไปอย่างที่มโนไว้บ้าง

มิ้ม: ไม่ใช่อย่างที่คิดเลยค่ะ พี่ๆทีมงานเยอะมาก (ลากเสียงยาว) เราเล่นได้ตามฟีลลิงเลย แต่ก็มีบางซีนที่บรรยากาศพาหลอนจริง จนรู้สึกว่าน่ากลัวเหมือนกันต่อให้มีคนเยอะ เราก็อาศัยสวดอิติปิโส ภะคะวา มีขอขมา แล้วก็ขอให้การถ่ายทำเป็นไปได้ด้วยดี

LIPS: สารภาพตรงนี้เลยว่ายังไม่กล้าดู ‘ธี่หยด’ แม้แต่ทีเซอร์

มิ้ม: อุ๋ย ดูเลยค่ะ สนุกน้า เป็นหนังครอบครัวค่ะ (ยิ้มใสๆ)

LIPS: รวมถึง ‘สัปเหร่อ’ ด้วย หนังผีที่เข้าฉายเมื่อปลายปีราวกับนัดกัน

มิ้ม: โอ้ สัปเหร่อดังมากเลยค่ะ (แววตาตื่นเต้น) รู้สึกว่าตอนนี้หนังไทยเริ่มฟื้นตัวแบบก้าวกระโดด มิ้มดีใจมากๆ (เน้นเสียง) ดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของหนังไทยที่กำลังกลับมาบูม สัปเหร่อเขามาแรงอยู่ก่อนแล้ว พอธี่หยดของเราเข้าฉายไล่เลี่ยกัน คนที่ได้ดูสัปเหร่อและอยากดูธี่หยดด้วย เหมือนวงการหนังผีเราสู้ไปด้วยกัน จับมือกันไป  

LIPS: ความยากที่สุดของการถ่ายทำธี่หยดร่วมๆ 4 เดือนคือ…

มิ้ม: คิดว่าเป็นฉากที่ต้องเล่นให้เหนือกว่ากับพี่แบร์ค่ะ เขาเป็นระดับซุป’ตาร์ที่แสดงเก่งมากๆ ไม่ว่าเล่นหนังหรือละคร พี่แบร์สามารถทำให้คนดูเชื่อได้ว่าเขาเป็นตัวละครนั้นจริงๆ มิ้มกังวลว่าเราจะส่งพลังให้พี่แบร์ได้ไหม เพราะตัวละครของเราต้องมีพลังเหนือเขามากๆ ทั้งที่เขาเหนือแล้ว แต่เราต้องเหนือกว่า! ค่อนข้างเครียดและกดดัน พอถึงวันที่ต้องเข้าฉากจริงๆ ปรากฎว่าพี่แบร์ส่งพลังให้เราได้ดีมากๆ มิ้มรู้สึกว่าเขาเป็นพาร์ตเนอร์ที่ดี จนทำให้รู้สึกว่าเราเองก็สามารถส่งพลังกลับไปให้พี่แบร์ได้เหมือนกัน ซีนนี้ถือว่ายากมาก เราแก้บทกัน 3 – 4 รอบเลยค่ะกว่าจะได้ไดอะล็อกที่โดนใจ

“เมื่อไรที่เราได้รับโอกาสก็ต้องทำให้ดีที่สุด ทำต่อไปเรื่อยๆ ถ้าจังหวะนั้นจะเป็นของเรา เดี๋ยวมันก็เป็นของเรา”

LIPS: สายตาคนรอบตัวมองเราแปลกไปไหม หลังเห็นมิ้มในเวอร์ชันแย้ม

มิ้ม: รอบที่มิ้มไปดูกับเพื่อนๆ ก็มีการชำเลืองมองด้วยความหวาดระแวงว่าเราจะแสยะยิ้มใส่เขาแบบในหนังหรือเปล่า (หัวเราะ) ในส่วนของเรา ตอนดูก็รู้สึกกลัวตัวเองอยู่บ้างค่ะ ปิดตาดูเป็นพักๆ เหมือนกัน คิดในใจว่า หูย เราเล่นได้หลอนขนาดนี้เลยเหรอ น่ากลัวอ่ะ เพราะตอนถ่ายมันไม่เท่าไร แต่พอตัดต่อออกมา ขนาดเราแสดงเอง รู้ว่าฉากไหน เนื้อเรื่องเป็นยังไง ยังตกใจเลยค่ะ เพราะไม่รู้ว่าเขาจะใส่ซาวนด์ที่ทำให้ตกใจตอนไหนบ้าง

LIPS: ได้ข่าวว่าเป็นหนังไทยเรื่องแรกที่เข้าฉายในระบบ IMAX ด้วย น่าจะหลอนเต็มอรรถรสเลยทีนี้

มิ้ม: ใช่ค่ะ วันฉายรอบกาลาถือเป็นครั้งแรกของมิ้มด้วยที่ได้ดูหนังในโรง IMAX ยังสะกิดแม่อยู่เลยค่ะว่าเราสองคนจะไหวมั้ยกับการดูหนังผีในโรง IMAX มิ้มไม่รู้มาก่อนเลยว่าเขาจะตัดต่อออกมายังไง พี่ๆ ทีมงานอยากให้เราเซอร์ไพรส์ค่ะ ไม่ยอมให้นักแสดงดูก่อน เราเลยลุ้นมากว่าจังหวะไหนจะมีอะไรออกมาแฮ่!  

LIPS: เห็นหน้าหวานๆ แบบนี้แต่มิ้มดูเป็นสายสตรอง ดูไม่กลัว 

มิ้ม: กลัวค่ะ! (ชิงตอบก่อนด้วยเสียงหนักแน่น) ไม่สตรองเลย ขนาดดูมา 3 – 4 รอบแล้วก็ยังคิด…อาจจะเป็นเพราะเรารู้ว่าเค้าโครงมาจากเรื่องจริง คือพอรู้ว่าได้เล่นบทนี้ มิ้มก็เข้าไปอ่านทั้งเวอร์ชันแรกที่เป็นกระทู้ในพันทิป มีถามพี่กิต (กิตติศักดิ์ กิตติวิรยานนท์ เจ้าของเรื่องเล่า ผู้เป็นลูกชายแท้ๆ ของ ‘หยาด’ พี่สาวแย้ม) แล้วยังตามไปฟังในเดอะโกสต์  เรดิโออีก โอ้โหหลอนหนักกว่าเดิม กลัวนะคะ แต่ด้วยความที่อยากรู้ให้มากที่สุดว่าเขาเป็นยังไง จะได้ดีไซน์ตัวละครแย้มออกมาได้ถูก

LIPS: เอาล่ะ ก่อนจะหลอนไปมากกว่านี้ เรามาต่อกันที่รายการ ‘นางร้ายไทยแลนด์’ ดีกว่า ทำไมตัดสินใจออดิชันผ่านหน้าจอ ทั้งที่เป็นนักแสดงอยู่แล้ว  

มิ้ม: ตอนนั้นมิ้มถ่าย ‘ธี่หยด’ ใกล้จบแล้วค่ะ แค่รู้สึกว่าอยากเปลี่ยนคาแรกเตอร์ดูบ้าง เพราะต่อไปคนอาจจะจำภาพว่าเราเป็น ‘แย้ม ธี่หยด’ อย่างเดียว มิ้มอยากให้คนดูเห็นเราหลายๆ แนว ไม่ว่าจะเป็นบทผี เด็กผู้หญิงน่ารัก หรือนางร้าย มิ้มอยากเป็นนักแสดงที่เล่นได้ทุกบทบาท และทำให้คนดูรู้สึกเชื่อว่าเราเป็นตัวละครนั้นจริงๆๆ

LIPS: บทนางร้ายอยู่ในเส้นทางของการสั่งสมประสบการณ์จากการหัดตีความตัวละครมาตั้งแต่เด็กๆ ไหม

มิ้ม: ไม่เลยค่ะ วันที่มาออดิชันเราก็เหมือนเริ่มต้นจากศูนย์ เพราะร้ายสุดที่มิ้มเคยเล่นคือบทพรรณษาตอนเด็กในเรื่อง ‘วาสนารัก’ ซึ่งมิ้มว่าต่างจากนางร้ายที่เป็นผู้ใหญ่ เพราะร้ายแบบเด็กๆ เราแค่แสดงอารมณ์เอาแต่ใจ ไม่มีเหตุผลซับซ้อน แต่เวลาร้ายแบบผู้ใหญ่ ทุกตัวละครมีเหตุผลของตัวเอง เราต้องตีความให้ได้ว่าทำไมเขาถึงร้าย เราจะเล่นร้ายเอาแต่ใจแบบเด็กๆ เหมือนเดิมไม่ได้ เลยรู้สึกว่าบทนางร้ายยากมากค่ะ

  มิ้มประเดิมบทนางร้ายวัยใสในละครวาสนารักกับยอร์ช ยงศิลป์

LIPS: รอบคัด 12 คนสุดท้ายมีช่วงเดดแอร์ที่ไม่มีควีนคนไหน (โม – อมีนา พินิจ, เบนซ์ – ปุณยาพร พูลพิพัฒน์, แก้มบุ๋ม – ปรียาดา สิทธาไชย) ยกหน้ากากเลือกมิ้มเข้าทีมเลย ตอนนั้นในหัวคิดอะไรอยู่  

มิ้ม: กำลังตื่นเต้นสุดๆ ค่ะ แต่ในใจก็คิดว่าไม่เป็นไร เรามาหาประสบการณ์เฉยๆ แต่ฮึ้ย! สุดท้ายพี่แก้มบุ๋มยกหน้ากากขึ้นมาค่ะ แล้วเขายังเป็นคนที่เราคิดไว้ในใจด้วย มิ้มชอบดูพี่แก้มบุ๋มแกะหอยมุกในไลฟ์สดอยู่แล้ว ชอบดูเวลาเขาอยู่กับพี่พีท (แฟนหนุ่ม) ด้วย น่ารักมากๆ

LIPS: ถ้าย้อนเวลากลับได้ มีโจทย์ไหนมั้ยที่รู้สึกอยากแก้มือ

มิ้ม: โจทย์ที่ 2 ‘ร้ายเจนจัด’ จากละครเรื่องบ่วงใบบุญค่ะ อยากจะบอกว่ามิ้มง่วงจริง (ยิ้มอ่อน) เพราะวันก่อนหน้านั้นรับงานไว้ แล้วกองถ่ายเลิกตี 2 แต่เราต้องตื่นตี 4 – 5 เพื่อเตรียมตัวไปถ่ายรายการนางร้ายไทยแลนด์ ช่วงที่ทำโจทย์นี้เลยหมดพลัง เสียงก็ทั้งแหบ ทั้งเบา มิ้มว่าถ้าได้พักผ่อนเพียงพอ เราน่าจะมีพลังมากกว่านี้

LIPS: แล้วโจทย์ไหนชอบมากที่สุด

มิ้ม: (นิ่งคิด) ‘ร้ายให้จำ’ จากเรื่องร่านดอกงิ้วค่ะ เพราะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้แสดงบทนางร้ายโดยที่ยังมีความเป็นตัวเองอยู่ และรู้สึกว่าทำผลงานออกมาโอเคเลย

“อยากมีโอกาสเป็น ‘ทนายอาสา’ อยากเอาความรู้มาช่วยคนอื่นๆ เผื่อบางคนไม่รู้จะหันหน้าไปปรึกษาใคร”

LIPS: ความแตกต่างของสิ่งที่ได้รับกลับมาจากการเล่นหนัง เล่นละคร และเข้าร่วมรายการเรียลลิตีมีอะไรบ้าง

มิ้ม: ช่วงเล่นละคร มิ้มว่าเป็นโอกาสที่ได้สะสมประสบการณ์ด้านการแสดงมาเรื่อยๆ ค่ะ ได้ศึกษาแต่ละบทบาทเพื่อเอามาพัฒนาตัวเอง รวมถึงได้เรียนรู้เรื่องบล็อกกิงซึ่งก็เป็นส่วนสำคัญ หนัง ‘ธี่หยด’ มิ้มได้อะไรกลับมาเยอะมากๆ ไม่ใช่แค่เป็นหนังเรื่องแรกในชีวิต แต่เรายังได้เป็นตัวละครที่มีความสำคัญตัวหนึ่ง

ประสบการณ์ในการแสดงหนังจะแตกต่างจากละครค่ะ เราจะเล่นเรียลกว่าสำหรับหนัง ส่วนเวลาเล่นละคร เราจะแสดงสีหน้าอารมณ์ชัดๆ เพื่อให้คนดูเข้าใจ แต่หนังไม่ได้เน้นขนาดนั้น ฉากพูดคุยก็เหมือนเราคุยกันในชีวิตประจำวันเลย หนังใช้กล้องแค่ตัวเดียวในการถ่าย 3 – 4 มุม ทำให้เราเรียนรู้เรื่องบล็อกกิงเพิ่มเติมด้วย

ส่วนรายการ ‘นางร้ายไทยแลนด์’ ก็ให้อะไรกลับมาเยอะค่ะ เราได้เวิร์กชอปกับพี่ๆ ที่เป็นมืออาชีพในวงการ ได้พัฒนาตัวเองในเวลารวดเร็ว ด้วยความที่รายการเรียลมากจริงๆ อย่างบทก็มีเวลาให้อ่านให้จำแค่  10 นาที มีบ้างที่รู้สึกเสียความมั่นใจเวลาโดนติแรงๆ เข้าใจนะคะว่าเป็นรายการเรียลลิตี แต่ด้วยความที่เราเป็นคนคิดมาก บางทีเลยสะเทือนใจ แต่มิ้มก็เอามาคิดทบทวนแล้วพยายามปรับปรุงการแสดงของเราต่อไปค่ะ นางร้ายไทยแลนด์ทำให้มิ้มรู้สึกว่าเราก็สามารถผ่านความกดดันไปได้แฮะ เราไม่กดดันตัวเองได้แล้ว    

มิ้มกับขุ่นแม่แก้มบุ๋มในเรียลลิตีโชว์ ‘นางร้ายไทยแลนด์’

LIPS: ในฐานะที่เป็นเด็กรุ่นใหม่ซึ่งน่าจะชอบดูซีรีส์ต่างประเทศ มิ้มมีมุมมองอย่างไรต่อบทนางร้ายในละครไทย

มิ้ม: ในแง่ของการแสดง มิ้มมองว่าบทนางร้ายใช้พลังเยอะค่ะ แล้วความร้ายก็มีหลากหลายรูปแบบ อาจจะร้ายแบบแอ๊บ เช่น “เราไม่ได้ร้ายนะ” (เล่าพร้อมทำการแสดงแบ๊วกรุบให้ดูเป็นตัวอย่าง) ร้ายแบบเอาแต่ใจ “อันนี้ฉันจะเอา!” หรือร้ายแบบโวยวาย ฯลฯ ความร้ายของตัวละครมันมีมิติที่แตกต่าง มิ้มก็เลยรู้สึกว่าบทนางร้ายน่าสนใจมากค่ะ เราอยากเล่นให้ได้ทุกมิติ

อย่างตอนถ่ายนางร้ายไทยแลนด์ โจทย์แรก ‘ร้ายให้จำ’ เป็นแนวยั่วยวน ไม่ได้ร้ายจ๋าๆ แต่บทเอิ้งโหลงในโจทย์สุดท้ายที่เล่นกับพี่ฝ้าย (เวฬุรีย์ ดิษยบุตร) ในกองละคร ‘วิญญาณแพศยา’ อันนี้เป็นนางร้ายแนวลึกลับที่มีการร่ายคาถาด้วย เป็นอีกหนึ่งครั้งที่เราต้องเล่นให้ดูมีพลังเหนือกว่า ซึ่งอีพีนี้มิ้มก็ประทับใจมากค่ะ

LIPS: มาถึงชีวิตจริงของนักศึกษาปี 1 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม อะไรอยู่เบื้องหลังการตัดสินใจเลือกเรียนด้านกฎหมาย

มิ้ม: ช่วงที่กำลังตัดสินใจว่าจะเข้าคณะอะไร คุณพ่อก็นำเสนอว่าเรียนนิติศาสตร์ดีไหม เพราะเห็นว่าเราชอบท่องบท ชอบท่องจำ มิ้มก็ว่าน่าสนใจดีค่ะ เลยลองศึกษา แล้วก็เรียนพิเศษด้านนี้ดูก่อน มิ้มรู้สึกว่าเราเรียนแล้วเข้าใจ รู้สึกชอบมาก สนุกดีค่ะเวลาอ่านกฎหมาย เพราะไม่ใช่แค่ชอบท่องจำ แต่เรายังชอบทำความเข้าใจ เลยสมัครเรียนไป 2-3 ที่เลย

มิ้มในมาดนักศึกษาวิชากฎหมาย

LIPS: มิ้มสนใจกฎหมายด้านไหนเป็นพิเศษ

มิ้ม: กฎหมายแพ่งค่ะ อาจจะเป็นเพราะเราชอบเรื่องเงินๆ ทองๆ มาก (หัวเราะชอบใจ) ไม่ค่ะ ล้อเล่น จริงๆ มิ้มว่าเป็นกฎหมายที่เราควรรู้ไว้ เพราะทรัพย์สินเงินทองเป็นสิ่งที่อยู่ในชีวิตประจำวัน เราต้องเกี่ยวข้องทุกวัน ไม่มีไม่ได้

LIPS: นอกเหนือจากการเป็นนักแสดง มิ้มเคยตั้งเป้าหมายในการเรียนคณะนิติศาสตร์ในแง่ของเส้นทางอาชีพไหม

มิ้ม: ตอนแรกคิดไว้ว่าอยากเป็นอัยการหรือผู้พิพากษาค่ะ แต่พอโตขึ้นแล้วได้ทำงานตรงนี้ เลยคิดว่าอยากมีโอกาสเป็น ‘ทนายอาสา’ บ้างค่ะ อยากเอาความรู้มาช่วยคนอื่นๆ อย่างน้อยเราน่าจะช่วยเหลือใครได้บ้าง เผื่อบางคนไม่รู้จะหันหน้าไปปรึกษาใคร เพราะการจ้างทนายก็มีค่าใช้จ่าย

LIPS: เมื่อครู่ที่บอกว่าชอบการท่องจำมาก พอจะนึกออกไหมว่ามันเริ่มต้นมาจากอะไร

มิ้ม: เริ่มจากชอบท่องบทละครนี่ล่ะค่ะ มิ้มชอบจับใจความสำคัญ แล้วก็ชอบขีด ชอบเขียนลงไปด้วย อย่างคำศัพท์ภาษาอังกฤษก็ชอบค่ะ เราจะดูว่าสะกดยังไง จำยังไงดี สมมติว่าวันนี้ท่องศัพท์ 10 คำ วันต่อไปมิ้มจะท่อง 10 คำใหม่บวกกับ 10 คำเก่าของเมื่อวาน และเพิ่มไปเรื่อยๆ

LIPS: ดูเนิร์ดใช้ได้ ต้องมีปากกาไฮไลต์หลายสีแหงๆ

มิ้ม: ใช่แล้ว มิ้มมีปากกาหลายสี หลายกล่องมาก แล้วแต่ละสีก็ยังมีหลายเฉดเพราะเหลืองมากกับเหลืองน้อยมันไม่เหมือนกัน แต่ละสีจะแทนความหมายที่เราเข้าใจคนเดียว เช่น สีเหลืองคือสำคัญมาก สีเขียวสำคัญกลางๆ สีม่วงคือไม่เท่าไร บางทีนอกจากขีดไฮไลต์ทับลงไป เรายังวงไว้ด้วย จนบางทีก็งงเองว่าสรุปแล้วอันไหนมันสำคัญกันแน่นะ (หัวเราะ) มิ้มว่าเราไม่ได้เป็นคนเนิร์ด แค่เป็นคนแปลก!

LIPS: ช่วงนี้มีไลฟ์สไตล์หรือกำลังให้ความสนใจในเรื่องไหน

มิ้ม: กำลังจะไปเรียนร้องเพลงเพื่อให้ตัวเองมีความสามารถพิเศษบ้างค่ะ เพราะเวลาคนถามว่ามีความสามารถอะไรบ้าง เราไม่รู้จะตอบอะไรดี (หัวเราะ) เต้นก็ชอบนะคะ แต่ไม่เก่งเลยยังไม่ค่อยมั่นใจ มีเต้นลง Tiktok บ้าง “…ปลาดาวมันมี 5 ขา แต่ว่าเธอที่น่ะมี 2 ใจ…” (ว่าแล้วก็ฮัมเพลงหัวใจปลาดาวของ Bonnadol feat. F.Hero อย่างอารมณ์ดี พร้อมโชว์สเต็ปมือเบาๆ) อ้อ! มิ้มชอบหาคาเฟ่ร้านใหม่ไปกับเพื่อนๆ ด้วยค่ะ เพราะเราชอบถ่ายรูป ชอบกินขนม กินของหวานมาก รู้สึกว่าการไปคาเฟ่คือความผ่อนคลาย ทุกครั้งที่ไปจะมีความสุขมาก (น้ำเสียงลั้ลลาเหมือนใจไปอยู่คาเฟ่แล้ว)  

LIPS: ตัวละครที่อยากสวมบทบาทในผลงานต่อๆ ไป

มิ้ม: อยากลองบท ‘นางเอก’ ค่ะ เพราะคนดูได้เห็นเราเป็นผีในธี่หยดแล้ว นางร้ายก็เป็นแล้วในนางร้ายไทยแลนด์ แต่คนยังไม่เคยเห็นเราในบทนางเอก มิ้มอยากให้คนเห็นเราในคาแรกเตอร์ที่หลากหลายค่ะ     

Words: Sasi Akkomee
Photos: Somkiat Kangsdalwirun 

Related Articles

เว็บไซต์ของเราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้ เราได้อธิบายความหมายและวิธีการใช้คุกกี้ของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถเข้าใจแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือการเปิดเผย รวมถึงทางเลือกในการใช้คุกกี้ของเรา อ่านเพิ่มเติม