Search
Close this search box.
Search
Close this search box.
HOME / Culture / Travel

La Fiesta

เมืองแห่งสีสันและกาลเวลาที่หยุดเดิน ผ่านมุมมองของ เก่ง-สักใหญ่ มงคลประเสริฐ และ จี๊ป-ภาสินี คงเดชะกุล
Culture / Travel

     ไม่ว่าจะเดินทางไปประเทศไหน ผมและจี๊ปมักจะมีของสะสมน่ารักๆ ที่ระบุว่า – Made in Mexicoติดไม้ติดมือกลับมาเสมอ ครั้งนี้จึงอยากลองบุกไปสัมผัสให้ถึงต้นตอแหล่งผลิต บวกกับความประทับใจจากภาพยนตร์เรื่อง CoCo ยิ่งทำให้อยากไปซึมซับบรรยากาศ “Day of the Dead” หรือวันแห่งความตายของจริงด้วยตัวเอง ส่วนฮาวาน่า คิวบานั้นถ้าเปรียบเมืองนี้เป็นคน คาแร็กเตอร์ของคนคนนี้ช่างมีเสน่ห์ มีความซับซ้อน และน่าค้นหาเหลือเกิน อะไรที่ทำให้ประเทศนี้แตกต่าง มีทางเดียวเท่านั้นที่จะเข้าใจได้คือเราต้องออกไปสัมผัสด้วยตัวเอง

Havana – Where Time Stood Still

     ความรู้สึกแรกที่สัมผัสได้หลังจากก้าวออกจากสนามบิน Jose Marti เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับพวกเรามาก่อน มันต่างจากการเดินออกจากสนามบิน ในทุกๆการเดินทางที่ผ่านมา เสมือนหลุดเข้าไปอยู่ในภาพยนตร์ยุคเก่าก็ไม่ปาน ไม่ว่าจะเป็น บรรยากาศ ผู้คน รถคาดิแล็ค ถนนหนทาง รวมถึงสถาปัตยกรรม ดูราวกับบ้านเมืองนี้ถูกหยุดเวลาไว้เกินกว่าครึ่งศตวรรษ ซึ่งส่วนหนึ่งคงเป็นผลจากการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ รวมถึงการปฏิวัติและปิดประเทศ ซึ่งนำโดย ฟิเดล คาสโตร และ เช กูวาร่า วีรบุรุษของชาวคิวบา

     จากสนามบินเข้ามาถึงใจกลางเมือง เราพักใน Casa เป็นห้องพักที่อยู่ในตึกทรงดั้งเดิมหลังเดียวกับเจ้าของบ้านชาวคิวบาในย่าน Old Town Havana ความเป็นมิตรของผู้คนในตรอกซอกซอยทำให้เรารู้สึกหลงสเน่ห์เมืองนี้เข้าอย่างจัง กลิ่นควันซิการ์ไปจนถึงเสียงวงดนตรีคิวบัน ขับร้องเป็นภาษาละตินมีให้ได้ยินอยู่แทบทุกหัวถนน บอกเลยว่า จังหวะและท่วงทำนองคิวบัน ยากที่จะทำใจให้ยืนฟังเฉยๆ ได้ เพราะ เราเองยังเผลอเต้นตามเสียงดนตรีหลายต่อหลายครั้ง แทบหยุดไม่ได้กันเลยทีเดียว

     เมื่อถึงเวลาอยากจิบเครื่องดื่มดับกระหาย ขึ้นชื่อว่ามาถึงคิวบาบ้านเกิดของคลาสสิกค็อกเทลอย่าง Mojito , Daiquiri และ Pina Colada ทั้งที หากจะไม่ลองชิมให้ครบก็คงกระไรอยู่ เราจึงเริ่มต้นกระบวนการลิ้มรสเครื่องดื่มท้องถิ่นที่ดังไปทั่วโลกกันที่ “Floridita” บาร์เก่าแก่ที่ Papa หรือ Ernest Hemingway แวะมาแฮงก์เอาท์เป็นประจำ จนถึงขั้นมีรูปปั้น Papa นั่งอยู่ที่บาร์ หรือร้านที่ว่ากันว่ามี “Best Mojito in Town” อย่าง “La Bodeguita Del Medio” ที่ทุกคนสามารถยืนดื่มสังสรรค์กันหน้าร้านได้โดยไม่ต้องเข้าไปข้างใน

     ตกเย็นเดินเลาะริมทะเล ชมพระอาทิตย์ตกที่ Malecon ถนนที่ทอดยาวกว่า 8 กิโลเมตร ไปพร้อมๆกับสังเกตกิจกรรมต่างๆ ของคนท้องถิ่นที่บ้างก็มาตกปลา เล่นดนตรี จับกลุ่มสังสรรค์กันอยู่แถวนั้น เป็นบรรยากาศที่โรแมนติกมากอย่างบอกไม่ถูก
     ความธรรมดาที่พิเศษอีกอย่างของ Havana คือเมืองนี้เป็นเมือง analog ไม่มีรถไฟฟ้า ไม่ใช้บัตรเครดิต และ ไม่มีอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะการที่เมืองนี้ไม่ได้มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตให้ใช้นั้น ยิ่งทำให้เราสนุกกับการเดินหลงทาง ถามทางด้วยภาษาสเปนิชแบบงูๆปลาๆ ได้ปล่อยวางจากการจ้องหน้าจอ และโฟกัสกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าที่เกิดขึ้นในเมืองนี้ได้อย่างเต็มอิ่ม ความธรรมดาที่พิเศษอีกอย่างของ Havana คือเมืองนี้เป็นเมือง analog ไม่มีรถไฟฟ้า ไม่ใช้บัตรเครดิต และ ไม่มีอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะการที่เมืองนี้ไม่ได้มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตให้ใช้นั้น ยิ่งทำให้เราสนุกกับการเดินหลงทาง ถามทางด้วยภาษาสเปนิชแบบงูๆปลาๆ ได้ปล่อยวางจากการจ้องหน้าจอ และโฟกัสกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าที่เกิดขึ้นในเมืองนี้ได้อย่างเต็มอิ่ม แต่หากต้องการเชื่อมต่อกับโลกภายนอก เราต้องไปต่อแถวซื้อบัตรชั่วโมงอินเทอร์เน็ต แล้วเอาเหรียญมาขูดใส่เลขเพื่อเติมชั่วโมงการใช้งานทีละ 1 ชั่วโมง ดังนั้น หากคุณเห็นผู้คนรวมตัวกันตามสวนสาธารณะก้มหน้าเล่นโทรศัพท์เป็นกลุ่ม ใช่ครับ จุดนั้นคือพื้นที่ที่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต ขาดๆ หายๆ บ้าง ได้รสชาติไปอีกแบบ

Mexico City – Call It Magic

     จาก Havana เรามุ่งหน้าสู่เม็กซิโก ซิตี้ เมืองที่เรามักจะคุ้นตาจากฉากอาชญากรรม ยาเสพติดในภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่อง แต่ด้วยความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของวัฒนธรรมเม็กซิกัน ทำให้เราลืมเรื่องเล่าน่ากลัวทุกอย่างจนหมดสิ้น มุ่งหน้าสู่ย่าน La Condesa และ Roma ที่เราทำการบ้านมาว่าน่าจะเข้ากับสไตล์การเดินทางของเราที่สุด

     เม็กซิโก ซิตี้ มีสิ่งที่ดึงดูดเราให้หยุดแวะได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็น หมอผีที่รับจ้างปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายตามข้างถนน หรือ ตลาดขายเนื้อสัตว์ exotic อย่าง San Juan Market ตลาดที่ขายของสำหรับทำไสยศาสตร์ (Mercado Sonora) ไปจนถึงร้านขายของที่ระลึกแปลกตาริมทาง ที่ทำใจยังไงก็ตัดใจหยุดซื้อไม่ได้ งานคราฟท์ต่างๆ ล้วนแล้วแต่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่หาที่ไหนไม่ได้ในโลกใบนี้ ทุกอย่างมาพร้อมกับราคาที่น่ารัก ทำให้เราช้อปฯ จนต้องซื้อกระเป๋าเดินทางใบใหม่ และซื้อน้ำหนักเพิ่มในขากลับ

     ในช่วงเทศกาล Dia de los Muertos (วันแห่งความตาย) เป็นอีกเทศกาลที่รู้สึกเหมือนได้เปิดโลกใบใหม่ บรรยากาศแห่งความสุข การเฉลิมฉลอง และความอบอุ่นจะปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็จะเจอแต่ผู้คนแต่งตัวพื้นเมือง แต่งหน้าตามโครงกระดูก Catrina ที่งดงามมากๆอีกอย่างคือ การตกแต่งแท่นบูชา และอาหารมื้อใหญ่เพื่อครอบครัวชาวเม็กซิกัน ตามความเชื่อที่ว่า บรรพบุรุษหรือญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว จะกลับมายังบ้านที่เคยอาศัยอยู่ ทำให้เราได้เห็นว่า อีกมุมหนึ่งของความตายยังมีความงดงาม และไม่ได้เป็นเรื่องน่ากลัวเสมอไป

     ที่หมายสำคัญอีกแห่งที่เราต้องไปเยือนให้ได้คือ Museo Frida Kahlo บ้านและสวนของ Frida Kahlo ศิลปินหญิงผู้เป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆคนในโลกใบนี้ เราใช้เวลาต่อคิวร่วม 3 ชั่วโมง ภายในบ้านมีทั้งเตียงที่ Frida ใช้วาดรูปเมื่อตอนเธอป่วย เสื้อผ้า ภาพเขียน รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ต่างๆถูกนำมาจัดแสดงอย่างสวยงาม คุ้มค่าคุ้มเวลาในการยืนรอคิวเข้าชมเป็นที่สุด

     อีกสถานที่ที่สามารถไปใช้เวลาได้เกือบค่อนวันคือ Xochimilco การล่องเรือโดยวิธีการถ่อไม้ไผ่ ที่ชาวเม็กซิกันนิยมไปสังสรรค์กันในวันหยุด ล่องเรือไปตามคลองเล็กๆพร้อมเสบียงอาหาร เครื่องดื่ม หรือถ้าอยากเติมความสนุกให้เต็มที่ ก็จะมีบริการวงดนตรีพื้นเมืองเม็กซิกันแต่งตัวเต็มยศ ขึ้นไปบรรเลงให้ถึงที่บนเรือ เป็นวันที่ได้เห็นอะไรน่ารักๆ ได้ตลอดทั้งวัน

     หลังจากกลับมาถึงเมืองไทย สิ่งหนึ่งที่เรายังคงทำอย่างต่อเนื่องคือ ตระเวนหาทุกอย่างที่เป็นเม็กซิโก และ คิวบา ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องดื่ม หรือ ภาพยนตร์ ทั้งสองประเทศนี้มีสเน่ห์จนยากจะลืมลง เสมือนคนรักที่ต้องจากกันไกล หากเวลาและโอกาสเหมาะสมครั้งอีกเมื่อไหร่ เราจะกลับไปอีกครั้งอย่างแน่นอน

│Text & Photos : Sakyai M.

Related Articles

เว็บไซต์ของเราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้ เราได้อธิบายความหมายและวิธีการใช้คุกกี้ของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถเข้าใจแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือการเปิดเผย รวมถึงทางเลือกในการใช้คุกกี้ของเรา อ่านเพิ่มเติม