Search
Close this search box.
Search
Close this search box.
HOME / Interview / People

บทสัมภาษณ์เต็มสุดตึงครั้งแรกของ ‘จ๊ะจ๋า-แดนดาว ยมาภัย’ ในบท ‘อึ่ง’ บ่าวไลฟ์โค้ชแห่งกรุงศรีฯ ในละคร ‘พรหมลิขิต’

Interview / People

จ๊ะจ๋า – แดนดาว ยมาภัย นักแสดงหน้าใหม่วัย 26 ปี ที่คอละครแห่ขอเปิดวาร์ปเพียงปรากฏตัวครั้งแรกใน ‘พรหมลิขิต’ หลังตีกรุงโซเชียลแตกด้วยบท ‘อึ่ง’ บ่าวสาวไลฟ์โค้ชยุคอยุธยาตาใส แต่ช็อตฟีลผู้ชมได้หมื่นแสนล้านโวลต์

“คนจำไม่ได้แน่ๆ ว่าหนูคืออึ่ง”

จ๊ะจ๋าเอ่ยขึ้นเมื่อยื่นหน้ามองตนเองในกระจกห้องแต่งตัว ผมหน้าม้าตัดตรงซึ่งเป็นลุคประจำของเธอได้รับการดัดลอน พร้อมเผยหน้าผากเปล่งออร่าในวันที่เปลี่ยนโฉมเป็นสาวหน้าหวาน ทว่าไม่วายยิ้มยกมุมปากหนึ่งข้างแบบคนคูลสาย swag เมื่อช่างภาพให้เธอโพสเล่นกล้องอย่างอิสระ

ระหว่างเฝ้ามองช่างภาพรัวชัตเตอร์จ๊ะจ๋าในวันที่ไร้รีเทนเนอร์ฟันดำและทรงผมสั้นหวีเสย ภาพสองตัวละครห่มผ้าแถบในละครนางทาสเวอร์ชันปี 2536 ดันตัดสลับเข้ามาในความทรงจำของเราอย่างไม่ทันนึกคิด

นักแสดงอาวุโส ‘บรรเจิดศรี ยมาภัย’ ในบทนางฟัก ทาสชราผู้นำความชีช้ำมาสู่นางเย็น ทาสสาวใจอารีย์ที่รับบทโดย ‘ตุ๋ย – มนฤดี ยมาภัย’ นางเอกยุค 90 นัยน์ตาสวย

นึกแล้วยิ่งชวนให้อัศจรรย์ใจว่า ‘จ๊ะจ๋า แดนดาว’ หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเราในตอนนี้ที่เป็นสมาชิกของครอบครัว ‘ยมาภัย’ ก็กำลังแจ้งเกิดในชุดผ้าแถบ! เช่นเดียวกันกับนักแสดงระดับตำนานทั้งสอง

LIPS: จ๊ะจ๋าพูดจาชัดถ้อยชัดคำเหมือนคนที่โตมากับผู้อาวุโส โดยปกติแล้วมีความใกล้ชิดกับคุณย่าบรรเจิดศรีและคุณมนฤดี ยมาภัยมากน้อยแค่ไหน

จ๊ะจ๋า: ช่วงปิดเทอมตอนเด็กๆ จ๋าจะไปอยู่บ้านคุณย่า (บรรเจิดศรี ยมาภัย) ค่ะ ป้าแดง (ศัลยา สุขะนิวัตติ์ นักเขียนบทละครโทรทัศน์ระดับท็อปของเมืองไทย อาทิ บุพเพสันนิวาส พรหมลิขิต) ก็อยู่ด้วย เราชอบอยู่กับป้าแดงและคุณย่า เพราะทั้งสองเป็นสายเอนเทอร์เทนเมนต์ เวลาคุณย่าไปกองถ่าย บางครั้งจ๋าก็ติดสอยห้อยตามไปด้วย จำได้ว่าตอนไปกองละคร ‘คู่กิ๊กพริกกะเกลือ’ จ๋าเข้าไปขอลายเซ็นน้าค่อมกับพี่โก๊ะตี๋ เราเน้นดาราตลกค่ะ (หัวเราะร่วน)

คุณย่าบรรเจิดศรีกับหลานจ๊ะจ๋า

ส่วนป้าตุ๋ย (มนฤดี ยมาภัย) เป็นลูกสาวของน้องสาวคุณย่าค่ะ จ๋าเคยเจอป้าตุ๋ยอยู่ไม่กี่ครั้ง เช่น ในวันเกิดคุณย่า ระยะหลังมานี้ป้าตุ๋ยเน้นเข้าทางธรรม แต่ล่าสุดป้าแดงก็เพิ่งเล่าให้ฟังว่าป้าตุ๋ยส่งข้อความมาว่า “จ๊ะจ๋าแสดงดี ไม่เสียชื่อ ‘ยมาภัย’”

LIPS: อยู่ในวงศ์ตระกูลที่คลุกคลีกับวงการละครมายาวนาน ขอเดาว่า ‘พรหมลิขิต’ ไม่น่าใช่ละครเรื่องแรกของจ๊ะจ๋า

จ๊ะจ๋า: ใช่ค่ะ อาจเป็นเพราะเราอยู่ในครอบครัวที่ทำงานสายนี้ ตอนเด็กๆ จ๋าเลยชอบทำโชว์ให้คุณย่ากับคุณป้าดู ทั้งเล่นละคร เต้น ร้องเพลง

ละครเรื่องแรกที่ได้เล่นจริงๆ คือ ‘คู่เขยคู่ขวัญ’ (ปี 2541) ที่พี่อั้ม – พัชราภา ไชยเชื้อ เป็นนางเอกค่ะ คุณพ่อของจ๋า (ดอน พฤกษ์พยุง) ก็เป็นนักแสดงที่เล่นเรื่องนี้ด้วย จ๋าได้เข้าฉากเป็นลูกของคุณพ่อในละคร รู้สึกว่าน่าจะได้พูดคำเดียวว่า “ป้อ” (ออกเสียงคำว่าพ่อแบบเด็กน้อย) จ๋าจำความตอนนั้นไม่ค่อยได้ด้วยความที่เรายังเด็กมากค่ะ

พอโตขึ้นมา ป้าแดงที่เขียนบทละครให้ช่อง 7 ก็เริ่มดันจ๋าให้เล่นเป็นลูกของพระนางในตอนอวสานเรื่อง ‘ดุจฟ้าไร้ดาว’ (ปี 2543) จำได้ว่าบทพูดมีอยู่ไม่กี่ประโยค นางเอกถามว่า “ลูกอยากกินไอศกรีมรสอะไรคะ” เราตอบแค่ว่า “รสวานิลลาค่ะ”

พอสัก ป.1 จ๋าเริ่มมีโอกาสได้เป็นตัวละครที่มีบทบาทครั้งแรกในเรื่อง ‘พรพรหมอลเวง’ (ปี 2546) จ๋าเล่นเป็นเด็กขี้อิจฉาที่อยู่บ้านเดียวกับน้องเมย์ (ตัวละครเด็กที่นางเอกมาเข้าร่าง) ช่วงนั้นหลายคนจำจ๋าได้อยู่พักหนึ่ง ต่อมาก็ได้เล่นอีกหนึ่งเรื่อง จนขึ้น ป.2 คุณพ่ออยากให้โฟกัสกับการเรียนก็เลยหยุดงานในวงการบันเทิงไปค่ะ

จ๊ะจ๋าตีบทแตกกระจุยในบท ‘อึ่ง’ บ่าวไลฟ์โค้ชจากละครพรหมลิขิต ตัวตึงยุคอยุธยา

LIPS: หวนคืนสู่วงการบันเทิงและกลายเป็น ‘อึ่ง พรหมลิขิต’ ได้อย่างไร

จ๊ะจ๋า: ช่วงรอยต่อระหว่างจบ ม.6 กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย จ๋าได้กลับมาเล่นละครช่อง 3 เรื่อง ‘กลลวงทวงหนี้รัก’ (ปี 2562) เพราะตอนนั้นคุณป้าถามว่าสนใจไหม เลยลองดูค่ะ แต่เวลานั้นละครยังไม่ได้ออนแอร์ จ๋าเลยตั้งหน้าตั้งตาเรียนด้านการแสดงและกำกับการแสดงละครเวทีที่คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

พอเรียนจบปี 4 ละครกลลวงทวงหนี้รักเพิ่งได้ออนแอร์ค่ะ ทำให้จ๋าได้แสดงเรื่องต่อมาคือ ‘ก่อนอรุณจะรุ่ง’ (ปี 2562) ทางช่อง GMM 25 ซึ่งทุกเรื่องที่เล่ามา ป้าแดงเป็นคนเขียนบทหมดเลยนะคะ ตอนนั้นจ๋าเล่นละครด้วยความหวังว่าจะมีผู้ใหญ่ท่านอื่นๆ มาเล็งเห็นความสามารถ แต่ด้วยความที่บทจ๋าไม่ได้โดดเด่นมาก ไม่มีอะไรที่สะดุดตา พอไม่มีใครเรียกไปร่วมงานต่อ จ๋าเลยตัดสินใจไปโครงการ Work & Travel ที่อเมริกาอยู่ 5 เดือน

ช่วงนั้นแฮปปี้กับการทำงานในต่างประเทศมากค่ะ ทีแรกคิดว่าคงไม่ได้กลับมาทำงานในสายการแสดงอีก แต่โชคดีว่าละครบรอดเวย์ The Lion King ซึ่งแสดงที่รัชดาลัยเธียเตอร์ 3 เดือนต้องการเดรสเซอร์ที่พูดภาษาอังกฤษได้เพื่อดูแลการแต่งตัวให้นักแสดง จ๋าสนใจมากเพราะได้ทำงานกับต่างชาติ และตรงสายที่เรียนมา พอจบงานนี้ก็ค่อนข้างเคว้ง รู้สึกอยากทำอะไรที่ได้พูดภาษาอังกฤษต่อก็เลยสอบ TOEIC เพื่อเตรียมสมัครเป็นแอร์โฮสเตส ปรากฏว่าโควิดระลอกแรกมาจนต้องล้มเลิกแผนการณ์ไปก่อน

จังหวะนั้นคุณป้าบอกว่า ‘พรหมลิขิต’ ซึ่งเป็นภาคต่อของบุพเพสันนิวาสกำลังเตรียมงาน คุณป้าไม่ได้ถามนะคะว่า ‘สนใจไหม’ แต่คุณป้าบังคับให้เล่นค่ะ (หัวเราะ)

กว่าจะได้เปิดกล้องใช้เวลานานมากค่ะ จ๋าไม่อยากอยู่ว่างๆ ก็เลยสมัครงานที่ได้ใช้ภาษาอังกฤษจนได้ทำด้าน Property Management ช่วงนั้นเป็นสาวออฟฟิศมาก เริ่มงาน 8 โมงเช้า เลิกงาน 5 โมงเย็น จนกระทั่งคุณป้าบอกว่าพรหมลิขิตกำลังจะเปิดกล้องนะ กลับมาทำงานละครได้แล้ว จ๋าเลยลาออกจากงานประจำที่ทำมาเกือบ 2 ปีได้ค่ะ

LIPS: คุณป้าเก็งให้เลยไหมว่าเราเหมาะกับบท ‘อึ่ง’ บ่าวตัวตึงแห่งกรุงศรีฯ

จ๊ะจ๋า: ด้วยความที่เราเป็นนักแสดงใหม่ แล้วหน้าตาก็ไม่ได้ถึงขั้นเป็นตัวเอก คุณป้าบอกว่าบทบ่าวนี่ละเหมาะสม ในละครบุพเพสันนิวาส บ่าวอย่างพี่ผิน – พี่แย้ม (หยา – จรรยา ธนาสว่างกุล และนุ่น – รมิดา ประภาสโนบล) ค่อนข้างมีชื่อ คุณป้าบอกว่าอาจจะคล้ายๆ กัน แต่คาแรกเตอร์ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัว

จริงๆแล้ว ตอนแรกจ๋าไม่อยากรับเล่นละครพรหมลิขิต ส่วนหนึ่งเรากดดันตัวเองด้วย เพราะบุพเพฯ ประสบความสำเร็จมากจนคนดูค่อนข้างคาดหวังและรอคอยกับภาคต่อ อีกอย่างจ๋าอาจคิดไปเองว่าคนจะมองว่าเราเป็นเด็กเส้น อยู่ดีๆ ก็ได้เล่นบทที่ตัวติดกับนางเอก ยิ่งเป็นพี่เบล (เบลล่า – ราณี แคมเปน) ด้วย เลยกะจะถอนตัวแล้วค่ะทีแรก

เบลล่ากับจ๊ะจ่าในละครพรหมลิขิต ในช็อตที่จ๊ะจ๋าแคปชันว่า ‘แม่นายจะให้บ่าวทำอะไรอีกเจ้าคะ’

วันที่เข้ามาเทสต์หน้ากล้องกับพี่นาย ผู้กำกับ (สรัสวดี วงศ์สมเพ็ชร) จ๋าก็ไม่ได้ tune in เป็นตัวละครมาก่อน พอลองแคสติงก็พูดบทไม่ได้ ไหนจะคำโบราณที่ไม่เข้าปาก เรากังวลไปหมด เล่นไม่ออก พี่นายยังบอกด้วยว่าทุกอย่างในตัวเราดูเป็นเด็กสมัยใหม่มากๆ แววตาก็ไม่ได้ดูใสซื่อ ท่าจะต้องปรับเยอะถ้าเล่นบทอึ่ง

วันนั้นเลยกลับมาบอกป้าแดงว่าจ๋าไม่เล่นดีกว่าค่ะ แต่ป้าแดงบอกให้ลองคิดดูก่อน โอกาสแบบนี้หาไม่ได้จากที่ไหน ทำไมเราเลือกปล่อยโอกาสไป จ๋าคิดหนักเลยทีนี้ คนรอบตัวก็คอยเชียร์ คอยให้กำลังใจว่าจ๋าทำได้ เราเรียนการแสดงมาโดยตรง จ๋าก็เลยไปลงเรียนเพิ่มเติม ไปเวิร์กช็อปเองจนเสร็จ กะว่าจะไปเล่นให้ผู้ใหญ่ดูอีกรอบ เพราะอยากเตรียมตัวเองให้ดีที่สุดก่อนที่จะกลับไปขอเทสต์หน้ากล้องใหม่อีกครั้ง แต่ปรากฏว่าเขาเรียกให้ไปฟิตติงและเริ่มถ่ายละครเลยค่ะ

LIPS: โอ้ว…แสดงว่าผู้กำกับเลือกจ๊ะจ๋าตั้งแต่วันแรกที่เจอกันแล้ว

จ๊ะจ๋า: น่าจะเป็นอย่างนั้นค่ะ

LIPS: การคัดเลือกนักแสดงในวันนั้น ผู้กำกับให้จ๊ะจ๋าเล่นฉากไหนให้ดู

จ๊ะจ๋า: ช่วง ‘ไลฟ์โค้ชอึ่ง’ ที่เป็นไวรัลนั่นล่ะค่ะ “ไม่กินวันนี้ พรุ่งนี้หิวกว่านี้ก็ต้องกินอยู่ดีเจ้าค่ะ” ตอนนี้จ๋าจำประโยคนั้นได้แม่นมาก แต่วันที่แคสติง จ๋าพูดไม่ได้เลย ด้วยอะไรหลายๆ อย่างค่ะ ต้องคลานเข่าเป็นครั้งแรกด้วย  

LIPS: เคยดู ‘บุพเพสันนิวาส’ มาก่อนจะรู้ตัวว่าได้เล่น ‘พรหมลิขิต’ ไหม

จ๊ะจ๋า: เคยค่ะ เมื่อก่อนดูเอาความบันเทิง แต่พอจะได้เล่นพรหมลิขิต ทั้งพี่นายกับป้าแดงก็บอกให้เราดูแบบเก็บรายละเอียดเยอะๆ ว่านักแสดงเขาเล่นกันอย่างไร พี่นุ่น – พี่หยาแสดงแบบไหน บ่าวในเรื่องเป็นอย่างไร

แรกๆ จ๋าคิดว่าบทบ่าวต้องเล่นแบบสงบเสงี่ยมเจียมเนื้อเจียมตัว แต่ป้าแดงแนะนำว่าบ่าวก็คือคนเหมือนกัน เราสามารถมีชีวิตชีวา มีคาแรกเตอร์ มีความหลากหลายได้ ไม่จำเป็นต้องหมอบกราบก้มหัวตลอดเวลา บ่าวที่ลุกขึ้นมาถีบผู้ชายก็มี ไม่ใช่ว่าต้องเรียบร้อยอย่างเดียว จ๋าเลยรู้สึกเหมือนได้ปลดล็อกอะไรบางอย่าง จากตอนแรกที่ค่อนข้างเกร็งกับการเล่นเป็นบ่าว

LIPS: ตอนสัมผัสกับ ‘อึ่ง’ ในบทละคร เขาเป็นคนยังไงในความคิดจ๊ะจ๋า

จ๊ะจ๋า: จ๋ามองว่าอึ่งเป็นคนซื่อๆ แต่ด้วยความซื่อนี่แหละที่ทำให้เขาดูกวนๆ (หัวเราะ) และอึ่งก็เป็นคนที่รักเจ้านายมาก จริงใจกับคนพวกพ้อง แต่ถ้าใครไม่ดีด้วยก็ร้ายกลับ ทุกอย่างตรงไปตรงมา จ๋ากับอึ่งมีความคล้ายกันตรงที่จ๋าก็จริงใจกับคนรอบข้างมาก แต่ถ้าใครร้ายมา จ๋าคงไม่ปะทะตรงๆ แบบนั้น ส่วนความซื่อเรามีนิดหน่อย ความกวนก็อาจมีบ้าง (ยิ้มแสบ)  

แม่นายกับบ่าวอึ่งในฉากเปิดบิวตี้เคานต์เตอร์ยุคกรุงศรี

LIPS: นอกจากทำรีเทนเนอร์ฟันดำ ส่วนตัวต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้างสำหรับการเล่นละครย้อนยุคเป็นครั้งแรก

จ๊ะจ๋า: จ๋าฝึกนุ่งโจงเองเพื่อให้ชินกับการขยับร่างกายค่ะ คนที่เวิร์กช็อปให้จ๋าก่อนเปิดกล้องเอาโจงมาให้นุ่ง เพราะเราต้องอยู่กับโจงกระเบนทั้งเรื่อง อย่างการใส่เกาะอกห่มผ้าแถบก็ต้องระมัดระวังในการยืน เดิน นั่ง จ๋าว่ากิริยาท่าทางทั้งหลายในการเป็นอึ่งมันมาเองโดยอัตโนมัติจากรูปแบบของเสื้อผ้าในยุคนั้นด้วย ส่วนผมสั้นอาศัยวิกเอาค่ะ แต่ด้านบนที่ปาดขึ้นไปเป็นผมหน้าม้าของจ๋าเองนะ ช่วงแรกๆ ก็ไม่ค่อยชิน แต่ด้วยความที่เราถ่ายทำกันมาประมาณ 1 ปี 8 เดือน จ๋าเลยค่อยๆ ซึมซับความเป็นอึ่งเข้ามาเรื่อยๆ

LIPS: เข้าฉากวันแรกเป็นอย่างไรบ้าง

จ๊ะจ๋า: เป็นฉากที่เรือนยายกุยค่ะ จ๋าเกร็งมาก เพราะเข้าฉากแต่กับพี่เบลและพี่ต๊งเหน่ง (รัดเกล้า อมรดิษฐ์ รับบทยายกุย) ส่วนใหญ่เป็นการถ่ายไปตามลำดับเหตุการณ์ของเรื่องค่ะ พี่ผู้กำกับวางเบรกดาวน์ให้จ๋าไม่ต้องพูดเยอะ เพราะช่วงแรกๆ อาจจะยังไม่ชินกับคำโบราณ แต่ฉากสุดท้ายของวันแรกเป็นฉากที่พี่เบลต้องกลัวตุ๊กแกแล้วเข้ามากอดจ๋า ในความคิดตอนนั้นคือพี่เบลเป็นนางเอกเบอร์ต้นของวงการ แต่ต้องมากอดเราซึ่งเป็นใครไม่รู้ โอ้โห! ทั้งกดดัน ทั้งเกร็ง แถมตื่นเต้นไปหมดค่ะ เวลานั้นดึกแล้ว แถมเป็นฉากแรกที่จ๋าต้องเริ่มพูดเยอะ เราก็ยิ่งพูดผิดพูดถูก มองผิดมองถูก แสดงอารมณ์ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง คือเทคเยอะจนเกรงใจพี่เบล แล้วก็นอยด์มากค่ะสำหรับการถ่ายทำวันแรก

ลีลาแดนซ์สุดย้วยพร้อมหยำหมากไปด้วยของพี่อึ่งและพี่เพิ่ม

ทีมสามบาท แก๊งป่วนชวนฮาจนเป็นขวัญใจคนดูในละครพรหมลิขิต

สถานการณ์ค่อยๆ ดีขึ้นตอนพี่รอน (ภัทรภณ โตอุ่น รับบท ‘เพิ่ม’) มาเข้าฉากค่ะ เหมือนจ๋าเริ่มมีคู่บทที่เป็นบ่าวเหมือนกัน จ๋าสนิทกับพี่รอนก่อน แล้วหลังจากนั้นพี่รอนก็เป็นคนเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างจ๋ากับพี่เบล เพราะพี่รอนกับพี่เบลรุ่นเดียวกัน อายุเท่ากัน จากนั้นเรา 3 คนก็เข้าฉากด้วยกันบ่อยๆ ค่อยๆ ละลายพฤติกรรมผ่านการชวนกันไปทำบุญเสียเป็นส่วนใหญ่ ที่เห็นภาพใน IG คือพวกเราไปกันเองค่ะ ไม่ได้เป็นการโปรโมตละคร ด้วยความที่พี่ๆ เป็นสายบุญกันทั้งคู่ พี่รอนชวนบ้าง พี่เบลชวนบ้าง จ๋าก็ชอบทำบุญนะคะ แต่ไม่ค่อยได้ไปตามงานใหญ่ๆ พอได้รู้จักกับพี่ๆ ก็เลยได้ไปงานบุญมากขึ้น

LIPS: ไหนๆ พูดถึง IG แล้วงั้นขอถามถึงที่มาของแฮชแท็ก #แก๊งสามบาท

จ๊ะจ๋า: อ๋อ…ตอนบุพเพฯ พี่เบล พี่นุ่น พี่หยาเป็น ‘แก๊งสามแสน’ ใช่ไหมคะ คนดูก็เลยคาดหวังว่าพี่เบล พี่รอน จ๋า น่าจะต้องมีชื่อแก๊งด้วย เหมือนเรา 3 คนเป็นทีมกำเนิดใหม่! เราเลยชวนแฟนๆ ช่วยกันนำเสนอ เขาก็พิมพ์มาเยอะมาก จ๋าเลยแคปเจอร์ไปให้พี่เบลกับพี่รอนเขาเลือกว่าเอาชื่อไหนดี สรุปว่าเป็นชื่อ ‘แก๊งสามบาท’ ด้วยความที่ในละคร พวกเราเป็นบ่าวไพร่กัน เลยเอาแค่สามบาทพอค่ะ (หัวเราะ)

อึ่ง เพิ่ม พุดตาน #ทีมสามบาท สุดซาบซ่า อยุธยาต้องร้องว้าว

LIPS: จุดไหนที่รับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของ ‘อึ่ง’ ซึ่งกระแสดีมาก

จ๊ะจ๋า: ตั้งแต่ฉากแรกที่อึ่งออกมาเลยค่ะ ใน X คนพูดถึงอึ่งกันเยอะมาก ทุกแพลตฟอร์มมีคนตัดฉากอึ่งไปส่งต่อกันเพียบ เหมือนคงสงสัยว่าเราเป็นใคร ก็เลยตามหา แบบอยากเปิดวาร์ป (ยิ้ม) อาจจะเป็นเพราะว่าจ๋าหน้าใหม่มาก ประกอบกับคาแรกเตอร์ซื่อๆ กวนๆ ของอึ่งเลยค่อนข้างสะดุดตา ถือว่าผลตอบรับดีเกินคาดมากๆ จนเราเองก็ตกใจ ไม่คิดว่าคนดูจะให้ความสนใจกับบทบ่าวมากมายขนาดนี้ ออนแอร์คืนแรกยอดฟอล IG ของจ๋า (@jajadandao) เพิ่มจาก 8,000 ขึ้นมาเป็น 10,000 จนตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 96,000 และยอดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกตอนที่ละครออนแอร์เลยค่ะ

LIPS: มีไหมฉากประทับใจที่ไม่คิดว่าตัวเองจะเล่นได้

จ๊ะจ๋า: ฉากที่เป็นข่าวว่าพี่เบลโดนประตูหนีบเลือดไหลนี่ล่ะค่ะ คือผัวเก่าของอึ่ง (วิศรุต หิรัญบุศย์ รับบทขาม) มาตาม แต่อึ่งอยากให้พุดตานปลอดภัย เลยพยายามผลักพุดตานเข้าไปในบ้าน ส่วนพุดตานก็อยากให้อึ่งเข้ามาหลบภัยด้วยกัน เลยเกิดการยื้อกันที่ประตู

จริงๆ ฉากนี้เป็นดราม่าครั้งแรกของการถ่ายทำพรหมลิขิตค่ะ เราก็ยิ่งกดดันด้วยความที่เป็นหลานของคนเขียนบท ป้าแดงบรีฟมาตลอดว่าเดี๋ยวจะมีฉากดราม่านี้ที่ต้องเล่นให้ได้นะ น้ำตาจริงต้องไหล ห้ามหยอดน้ำตาเทียม ส่วนพี่ๆ ในกองก็คอยแซวว่า “เนี่ย…รอดูอึ่งเข้าฉากดราม่าอยู่นะ” จนจ๋าถึงขนาดต้องไปไหว้พระขอพรให้การถ่ายทำฉากนี้ผ่านไปได้ด้วยดี ปรากฏว่าถึงเวลาจริง เราร้องไห้ได้ อารมณ์ได้ แต่ดั๊น…น ทำพี่เบลบาดเจ็บ แต่พี่เบลมีสปิริตมากค่ะ เล่นต่อไม่ยอมบอกใคร เพราะเห็นว่าเป็นซีนอารมณ์ของเรา อยากให้เราเล่นให้สุด พอคัตปุ๊บพี่เบลร้องโอ๊ยเลย

พรหมลิขิต EP.10  ผัวเก่าอึ่งมารังควาน จะทำร้ายพุดตาน งานนี้อึ่งปกป้องแม่นายของตัวเองสุดตัว

LIPS: มีวิธีเตรียมตัวอย่างไรในการถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของผู้หญิงโบราณที่โดนกระทำจากสามี ซึ่งไม่ใกล้เคียงกับชีวิตจริงของจ๊ะจ๋าเลย

จ๊ะจ๋า: ต้องท่องบทให้ได้ค่ะ ถ้าแม่นบทแล้ว เราจะสามารถโฟกัสกับการเป็นตัวละครได้ ในขณะที่นักแสดงบางคนอาจจะใช้เทคนิคท่องบทหน้าเซตใกล้ๆ เวลาถ่ายแล้วก็เล่นได้เลย แต่จ๋าไม่สามารถ จ๋าต้องท่องบทไปก่อน เพราะพอไปถึงหน้าเซตจะมีบล็อกกิง มีท่าทาง ฯลฯ ที่ต้องใส่เข้าไปเพิ่ม ถ้าจำบทไม่ได้ มันจะตีกันหมด พะวงทั้งบท ทั้งองค์ประกอบอื่นๆ แต่ถ้าแม่นบทแล้ว เราก็ใส่อย่างอื่นเข้ามาได้ ตอนถ่ายจ๋าต้องเชื่อในสถานการณ์นั้นจริงๆ พวกพี่ๆ ช่วยส่งบทให้ดีมากค่ะ แค่มองตาเขาก็ส่งให้แล้ว ขึ้นอยู่กับเราว่าจะรับมากน้อยแค่ไหน และจะแสดงกลับไปอย่างไร

LIPS: มิติไหนในตัวอึ่งที่จ๊ะจ๋าชอบที่สุด ถึงตอนนี้มีอะไรอยากบอกอึ่งบ้าง

จ๊ะจ๋า: อึ่งซื่อก็จริงค่ะ แต่เขามีความสู้คนอยู่ในตัว ไม่ได้เชื่อใครง่ายๆ มีมุมตลก มุมโกรธ มุมเสียใจ ฯลฯ จ๋าว่าเป็นตัวละครที่กลมดี

จ๋าอยากจะบอกอึ่งว่าขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมายาวนานมากๆ (เสียงสูง) เกือบสองปีแหนะ ขอบคุณที่จับมือกันแล้วทำทุกอย่างจนสำเร็จในท้ายที่สุด จริงๆ จ๋าเกือบจะไม่ได้เป็นอึ่งแล้วน้า แต่เพราะอะไรไม่รู้ที่ดลบันดาลให้เราได้มาเจอกัน มาอยู่ด้วยกัน

ขอบคุณมากๆ ที่สอนและให้บทเรียนจ๋าหลายอย่าง เช่น มิติความเป็นผู้หญิง อึ่งเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง แม้ข้างในอาจจะซ่อนความอ่อนแอไว้ อึ่งสอนให้เรายืนด้วยตัวเอง อย่ารอพึ่งพาคนอื่น รวมถึงความรักและมิตรภาพที่ดี ไม่ว่ากับเจ้านายหรือเพื่อนร่วมงาน

LIPS: ละครพรหมลิขิตรุ่มรวยไปด้วยภูมิพลังแห่งวัฒนธรรม ฉากใดที่จ๊ะจ๋าชื่นชอบเป็นการส่วนตัวมากที่สุด

จ๊ะจ๋า: ‘พิธีจองเปรียง’ ที่เป็นต้นแบบการลอยกระทงค่ะ จ๋าเป็นคนรุ่นใหม่ก็ไม่เคยรู้จักพิธีนี้มาก่อน แต่พอได้มาเล่นเรื่องนี้ก็ทำให้เราได้รู้จักกับวัฒนธรรมตนเองมากขึ้น ยิ่งละครได้ออนแอร์ในช่วงวันลอยกระทงพอดี จ๋าคิดว่าหลายคนคงเลือกใส่ชุดไทยไปลอยกระทงกันจากละครเรื่องนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งประเพณีที่งดงามมากของไทยเลยก็ว่าได้ค่ะ

LIPS: ผลงานต่อไปของจ๊ะจ๋ามีเรื่องอะไรบ้าง

จ๊ะจ๋า: ตอนนี้จ๋ากำลังถ่ายละครเรื่อง ‘ก็รักมันปักใจ’ ของช่อง 3 ค่ะ พี่นายเป็นผู้กำกับเหมือนเดิม เก๋ไก๋ (ณัฐธิชา นามวงษ์ ยูทูบเบอร์ช่อง Kaykai Salaider ที่มีผู้ติดตามกว่า 16 ล้านคน) เป็นนางเอกเต็มตัวครั้งแรก และกองทัพ พีค เป็นพระเอกค่ะ

จ๋ารับบทเป็นเพื่อนนางเอก พี่ซีนที่รับบท ‘แม่แก้ว’ ในพรหมลิขิต (ภัสธรากรณ์ บุษราคัมวดี) ก็เล่นเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน ในเรื่องนี้จ๋าสู้คนสุดๆ แมนๆ คอยปกป้องเพื่อน เรียกได้ว่าเลเวลอัพจากอึ่งเยอะมาก เราพร้อมบวกแบบใครทำเพื่อนฉัน..ตาย! เรื่องความกวนยังมีเหมือนเดิมค่ะ เรามีพี่ปาล์มหยอย (ปาล์ม – ศุภชัย สุวรรณอ่อน) เป็นคู่กัด

นอกจากนี้ก็มีหนังสั้น ‘The Magic Seeds: มหัศจรรย์เมล็ดพันธุ์เหนือมิติ’ เรื่องนี้จ๋าเป็นนางเอกค่ะ (ยิ้มหวาน) ส่วนพระเอกคือพี่เฉียงเฉียง (วรฉัตร ธำรงวรางกูร) ยูทูบเบอร์สายท่องเที่ยวช่อง ‘เฉียงๆ ไปอยู่ไหนมา’ พี่เขาตลกมากค่ะ แล้วเราก็เป็นมือใหม่กันทั้งคู่

เนื้อหาเป็นการถ่ายทอดองค์ความรู้ของปราชญ์ชาวบ้านในจังหวัดบุรีรัมย์ค่ะ เช่น การเกษตรประณีต เราไปปักหลักถ่ายทำกันที่บุรีรัมย์ตลอดทั้งเรื่อง จ๋ารับบทเป็นลูกสาวของพี่ปาน (ธนพร แวกประยูร) และเราต้องพูดภาษาอีสานกับคนในครอบครัวด้วย ถือเป็นบทบาทใหม่ที่ค่อนข้างท้าทายสำหรับจ๋าเลยค่ะ

LIPS: แอบส่องใน IG มา เห็นจ๊ะจ๋ามีรอยสักคิวต์ๆ และเปิดสตูดิโอร้านสักเป็นของตัวเองด้วย ช่วยเล่าถึงความเป็นมาสักหน่อย

จ๊ะจ๋า: จ๋าอยากสักตั้งแต่มัธยมแล้วค่ะ แต่ตอนนั้นป้าแดงไม่ให้ อาจเป็นเพราะคุณป้ายังไม่รู้จักรอยสักแบบมินิมัล คงนึกว่าเราจะสักรูปมังกรหรือรูปเสือ แต่จริงๆ จ๋าเห็นคุณพ่อสักมาตั้งแต่สมัยจ๋าเรียนประถมแล้ว เวลาช่างมาสักให้คุณพ่อ จ๋าก็ชอบไปนั่งดูด้วย

จ๋ากับคุณพ่อที่สักตั้งแต่คอจนถึงข้อเท้า

จ๋าชอบวาดรูป เคยเรียนวาดรูป เรียนเพนต์กระเบื้องพอร์ซเลน แล้วเราก็ชอบแต่งหน้าเป็นคาแร็กเตอร์ต่างๆ แต่งเอฟเฟกต์ แต่งฮัลโลวีน เราชอบอะไรที่เป็นงานเพนต์ พอเริ่มทำงานก็ยังไม่กล้าขอที่บ้านค่ะ แต่แอบไปสักเลยทีนี้ (หัวเราะ) ลายแรกสักตรงสีข้างเป็นชื่อ DANDAO ที่จ๋าออกแบบเอง พอกลับถึงบ้านตัดสินใจว่าบอกเถอะ…คงไม่เป็นไร เพราะคุณพ่อก็สักทั้งตัว ปรากฏว่าไม่มีใครดุเลย คุณพ่อยังถามว่าไปสักที่ไหน ราคาเท่าไร พอจ๋าบอกไป คุณพ่อบอกแพงจัง ถ้าถามก่อนจะแนะนำให้

‘DANDAO’ รอยสักแรกของจ๊ะจ๋า

ลายสักที่ต้นแขนด้านในเป็น Land of Stars – แดนดาว

พอมีลายแรกแล้ว เราก็รู้สึกว่าอยากมีอีก เพราะมันไม่เจ็บอย่างที่คิด ลายที่ 2 ก็เป็นดวงดาวที่จ๋าออกแบบเอง แต่ครั้งนี้คุณแม่เริ่มบ่นแล้วค่ะ บอกว่าถ้าสักอีกไม่ให้เข้าบ้านแล้วนะ คงเพราะมันอยู่นอกร่มผ้า แต่สุดท้ายก็มีลายที่ 3 จนได้ค่ะ เป็นลาย City of Stars จ๋าออกแบบโดยพยายามคุมโทนให้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับดวงดาวทั้งหมด เราชอบดวงดาว ชอบกาแล็กซี

ตอนนั้นสนิทกับพี่ช่างสักเลยขอเขาเรียน แล้วก็ตัดสินใจซื้อเครื่องมือทันที เพื่อนคนนึงก็ยอมให้จ๋าสักลงบนผิวเขาตั้งแต่จ๋าเรียนครั้งแรกกับหนังเทียม ผ่านไป 3 – 4 เดือน จ๋าเริ่มเปิดรับคิวสักโดยใช้พื้นที่ของห้องนั่งเล่นในบ้านทำเป็นสตูดิโอเล็กๆ ที่ชื่อ SayCheese เพื่อสื่อว่าไม่ว่า (การสัก) จะเจ็บแค่ไหน เราก็ยังเซย์ชีส คือยังยิ้มได้ จ๋าเริ่มพร้อมๆ กับช่วงที่พรหมลิขิตเปิดกล้อง เพราะตอนนั้นรู้สึกอยากทำงานอดิเรกที่เราควบคุมวันและเวลาได้ระหว่างการถ่ายทำละคร  

ช่างสักจ๊ะจ๋าประเดิมสักครั้งแรกให้กับคุณพ่อ

ส่วนรอยสักของตัวเองต้องหยุดไว้ก่อนค่ะ พี่นายห้ามไว้เพราะทำงานลำบาก เขาเบรกทุกครั้งไปที่กอง (ยิ้มอ่อน) วันไหนถ่ายละคร จ๋าจะเอารองพื้นไปเองเพราะเราสักหลายจุด ก่อนเข้าฉากก็มานั่งกลบรอยสักอยู่คนเดียว เพราะเกรงใจช่างแต่งหน้าค่ะ

LIPS: งานสักรูปแบบไหนที่เป็นสไตล์ถนัดของจ๊ะจ๋า

จ๊ะจ๋า: แนวมินิมัลที่เล่นกับสีค่ะ มีทั้งลายที่จ๋าออกแบบเองให้ลูกค้า แล้วก็ลูกค้าเอาลายมาให้สัก จริงๆ แล้วจ๋าอยากลองทำงานสไตล์พอร์เทรตที่เล่นกับแสงและเงา แต่ด้วยความที่ตอนนี้ยังไม่มีพื้นฐานเกี่ยวกับการวาดรูปพอร์เทรตมาก จ๋าเคยวาดหน้าคุณย่าบนกระเบื้อง แต่ยังไม่กล้าสักพอร์เทรตบนหนังคน ถึงจะเคยลองสักบนหนังเทียมมาแล้ว

LIPS: เห็นจ๊ะจ๋าร้องเพลง – เล่นกีตาร์ได้ไพเราะ แถมเต้นเก่งเลยทีเดียว สิ่งเหล่านี้คือไลฟ์สไตล์และความถนัดของจ๊ะจ๋าใช่ไหม มีความฝันอื่นๆ หรือไม่

จ๊ะจ๋า: จ๋าชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก เคยเรียนด้วยค่ะ แต่ไม่กล้าร้องเพลงต่อหน้าคน ไม่รู้ว่ามีปมอะไร แค่ขึ้นเวทีก็สั่นจนบางทีคุมเสียงตัวเองไม่ได้ ตอนลองไปออดิชัน ขนาดมีกรรมการตรงหน้าเราแค่ 3 คน จ๋ายังสั่นเหมือนคนหายใจไม่ทัน (ทำท่าประกอบ) เราค่อนข้างกลัวกับการร้องเพลงต่อหน้าคนอื่น แต่ชอบร้องเพลงนะคะ เลยเน้นอัดวีดิโอ ร้องเอง เล่นกีตาร์เอง อยู่คนเดียวมากกว่า

แดนดาวขอร้อง ‘ข้ามเวลา’ เพลงประกอบละครพรหมลิขิต

จ๊ะจ๋าโชว์สเต็ปแดนซ์ เต้นจริงจัง ไม่เอาฮา

(แล้วยังกล้าร้องเพลงโชว์ป้าแดงเหมือนตอนเด็กๆ ไหม? ทีมงานถาม) เอ…ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ ที่จริงเคยอยากร้องเพลงตามเวทีต่างๆ ด้วยนะคะ ล่าสุดจ๋าก็เพิ่งคุยกับพี่หยา พี่เขาเป็นคนร้องเพลงเพราะ (และเป็นครูสอนการแสดง) พี่หยาบอกให้จ๋าจับมือเขาแล้วร้องเพลงไปด้วยกัน ต่อไปถ้าต้องขึ้นเวทีก็ให้จำความรู้สึกนี้ไว้ เผื่อจะลดความกลัวหรือความตื่นเต้นลงได้ จ๋ายังไม่เคยเอาวิธีนี้ไปใช้ แต่เดี๋ยวจะมีงาน ‘พรหมลิขิต Fan Meeting’ ที่จ๋าต้องจับไมค์ร้องเพลง เลยว่าจะลองดูค่ะ

ความฝันอื่นๆ หรือคะ…จ๋าอยากลองพากย์การ์ตูนนะ อยากมีโอกาสได้ใช้เสียงในการทำงาน มันจะเป็นอะไรที่ใหม่มากสำหรับจ๋า

LIPS: งานเขียนบทล่ะ ไหนๆ มีปรมาจารย์ใกล้ตัวขนาดนี้

จ๊ะจ๋า: ตอนเด็กๆ เคยพยายามจะเรียนนะคะ แต่ลองแล้วไม่ใช่ทางของเรา ป้าแดงเป็นแนวเอาบทมาแก้ให้ดู เช่น ตรงนี้ตัดได้เพราะเป็นคำเปลืองที่ยืดยาว แต่เขาไม่สามารถถ่ายทอดแบบเปิดคอร์สสอนได้ ถ้าไปเป็นวิทยากร ป้าแดงก็จะเน้นเล่าในเชิงประสบการณ์ของตัวเองมากกว่า จริงๆ จ๋าว่าศาสตร์นี้ก็สอนกันยากด้วย ต้องใช้ทักษะเฉพาะตัวในการคิดคำพูดต่างๆ ขึ้นมา

LIPS: ชื่อ ‘แดนดาว’ อ.แดง ศัลยา ตั้งให้แน่ๆ เลย

จ๊ะจ๋า: ใช่ค่ะ ใครได้ยินชื่อก็มักจะบอกว่าแปลกดี เก๋ดี น่ารัก ฯลฯ ป้าแดงบอกว่า ‘แดนดาว’ เป็นคำไทยแท้ ได้ยินปุ๊บก็เข้าใจทันทีว่าหมายถึงดินแดนของดวงดาว ไม่ต้องเปิดพจนานุกรมเพื่อหาความหมาย

แดนดาวคือ ดินแดนแห่งดวงดาวที่จะส่องประกายนำทางชีวิตเรา แม้ในค่ำคืนที่มืดมนที่สุด ต่อให้หนทางที่จะเดินไปข้างหน้านั้นมืดมิดแค่ไหน ป้าแดงอยากให้จ๋ายังคงส่องแสงให้กับตัวเอง อย่าได้มืดมน 

จ๋าประทับใจชื่อ ‘แดนดาว’ มากจนขอสักไว้ตรงนี้ (เอี้ยวตัวพลางชี้ที่แผ่นหลัง) เป็นลายมือของป้าแดงที่เขียนความหมายของชื่อเอาไว้ให้ค่ะ

Words: Sasi Akkomee
Photo: Somkiat Kangsdalwirun 
Makeup: Phatthanat Chaiyakul
Hair: Tua Thossanon

Related Articles

เว็บไซต์ของเราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้ เราได้อธิบายความหมายและวิธีการใช้คุกกี้ของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถเข้าใจแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือการเปิดเผย รวมถึงทางเลือกในการใช้คุกกี้ของเรา อ่านเพิ่มเติม