Search
Close this search box.
Search
Close this search box.

‘ยอร์ช – ยงศิลป์’ สั่นแต่สู้ อ่อนไหวแต่ไม่ล้มเลิกในเส้นทางศิลปินเดี่ยว

“สิ่งที่ผลักดันให้ผมกล้าทำอะไรได้มากขึ้น คือความกดดันหรือคำพูดที่เกินกว่าจะรับได้”
Cover Story / Interview

ปรากฏการณ์หนาวเหน็บของฝนเดือน 7 ตามเนื้อเพลงของ ‘ยอร์ช – ยงศิลป์ วงศ์พนิตนนท์’ ดูจะสอดคล้องกับสภาพอากาศในวันนี้ที่พายุลูกเห็บโปรยปรายให้เห็นเป็นครั้งแรกในช่วงชีวิตของคนกรุงเทพฯ หลายพื้นที่

ยอร์ชเป็นหนุ่มพะเยาที่ย้ายมาอยู่ภาคกลางตั้งแต่ 5 ขวบ หากยังพูดเหนือได้คล่องปร๋อเพราะเป็นภาษาที่ใช้สื่อสารกันในครอบครัว ส่วนชื่อเล่นที่ได้แรงบันดาลใจจากเรือยอทช์นั้น เป็นไอเดียของพี่สาวคนโตผู้มาก่อนกาล ราวกับรู้ว่าในวันหนึ่งข้างหน้า น้องชายคนนี้จะมีชื่อเสียงในระดับสากล

“พี่สาวผมเห็นเรือยอทช์จากในหนังก็เลยตื่นเต้นครับ ด้วยความที่บ้านเราอยู่แถบชนบทนอกเมืองพะเยา รู้สึกว่าเรือยอทช์เท่ดี ฟังดูอินเตอร์ด้วย” นักแสดงหนุ่มสู้ฝันวัย 21 ปีเล่าให้ฟังระหว่างที่ฉันจัดเตรียมเครื่องอัดเสียง

ยอร์ชแจ้งเกิดในวงการละครตั้งแต่ 10 ปีที่แล้วในฐานะนักแสดงรุ่นลูก ทว่าปีนี้เขาหวนคืนสู่วงการอีกครั้งในบทบาทใหม่ของการเป็นนักร้องเสียงดีเจ้าของเพลง SEVEN ซิงเกิลแรกในชีวิตที่เปิดตัวภายใต้บริษัท YORCH ENTERTAINMENT ของตัวเอง พร้อมประเดิมจัดงานแฟนมีตกลางห้างหรูในวันคล้ายวันเกิดที่ผ่านมา ซึ่งหนึ่งในเพื่อนนักแสดงวัยเด็กอย่างอ๊ะอาย 4EVE (กรณิศ เล้าสุบินประเสริฐ) มาร่วมเซอร์ไพรส์บนเวที

“นอกจากอ๊ะอาย ก็มีพรีม (ชนิกานต์ ตังกบดี) และภูวินทร์ (ภูวินทร์ ตั้งศักดิ์ยืน) ครับที่เป็นเพื่อนสนิทในวงการตอนเด็กๆ แต่ช่วงนี้ที่ได้คุยบ่อยสุดน่าจะเป็นพี่บลู (พงศ์ทิวัตถ์ ตั้งวันเจริญ) ด้วยความที่นิสัยคล้ายๆกัน”

ยอร์ชเล่าว่าจริงๆ รู้จักกับบลูมานานแล้ว เพียงแต่เพิ่งได้พูดคุยกันในระยะหลัง เพราะเจอกันมากขึ้นตามงานอีเวนต์ที่มักเชิญดาราเซเลบหลายชีวิตไปร่วมงาน ขณะที่ทุกคนพูดคุยกันอย่างออกรส มีเพียงเขากับบลูที่เป็นขาประจำของทีมหลบมุม ด้วยความที่เข้าสังคมไม่เก่งกันทั้งคู่

“เหมือนผมอยู่ตรงกลางระหว่าง introvert กับ extrovert เราไม่ใช่แนวชวนคุยก่อน ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง แต่ถ้ามีคนเริ่มให้ก็ต่อได้ยาวๆ พอกลับมาอยู่เมืองไทย พี่บลูทักมาถามไถ่ว่าสบายดีไหม เลยได้คุยกันเยอะหลังจากนั้น ลามไปถึงเรื่องเรียนด้วย เพราะผมกำลังจะกลับไปเป็นนิสิตที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม สาขาภาพยนตร์และสื่อดิจิทัล เอกการแสดงและการกำกับการแสดงภาพยนตร์) สาขาเดิมที่ดร็อปไว้ในช่วงก่อนขึ้นปี 3 ซึ่งพี่บลูเป็นรุ่นพี่ที่เพิ่งเรียนจบไป”

ยอร์ชสวมเสื้อแจ็กเก็ต ZEGNA คลุมทับเสื้อเชิ้ตพิมพ์ลาย SHONE PUIPIA เสื้อยีนส์แขนยาว MOO เสื้อฮู้ดพิมพ์ลาย, กางเกง และรองเท้าผ้าใบจาก CONVERSE

บทเพลงแห่งความคิดถึงที่ชวนน้ำตาซึมกับความทรงจำเก่าๆ ของ ‘ยอร์ช-ยงศิลป์’

หลังประเดิมศักราชใหม่ด้วยตารางงานรัวๆ ในสิงคโปร์ ยอร์ชกลับมาปักหลักในเมืองไทยตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา เพื่อคิดทบทวนและวางแผนสำหรับก้าวต่อไปของตนเอง

“ผมแค่อยากทำผลงานสักชิ้น แต่ยังไม่อยากรับงานละคร เพราะเป็นสิ่งที่เราทำมาตั้งแต่เด็ก เลยคิดว่าน่าจะทำเพลงออกมาสักหนึ่งเพลงดีกว่า” ยอร์ชถ่ายทอดความคิดตั้งต้น ก่อนได้ศิลปินคนโปรดอย่าง THE TOYS (ทอย – ธันวา บุญสูงเนิน) มาเป็นโปรดิวเซอร์ให้สำหรับเพลงแรกในชีวิต

“เราติดต่อไปทาง WHAT THE DUCK ซึ่งเป็นต้นสังกัดของพี่ทอย อยากให้เขามาทำเพลงให้ ผมฟังเพลงพี่ทอยเยอะ ชอบหลายเพลงมากๆ ชอบทั้งดนตรีและเมโลดี้ อย่างเพลง 04:00 เมะ ไวน์ลดา อาหมวยหาย ฯลฯ

“ตอนแรกพี่ทอยไม่ได้รับครับ งานเขาเยอะ ยังหาเวลาไม่ได้ ผมก็ไม่เป็นไร ไม่รีบ ระหว่างนั้นก็ค่อยๆ นึกว่าเพลงที่เราแพลนไว้ในหัวเหมาะกับโปรดิวเซอร์คนไหนบ้าง ปรากฏว่า 1 – 2 อาทิตย์ต่อมา ทางค่ายติดต่อมาว่าพี่ทอยอยากทำเพลงให้ เลยได้นัดมาคุยกันเรื่องแนวเพลงที่ชอบ ผมมีเพลงที่เคยแต่งกับเพื่อนอยู่ 2 – 3 เพลงเลยเปิดให้พี่ทอยฟัง เขาบอกว่าสไตล์เราคล้ายๆ กัน เป็นเพลงฮิปฮอปอาร์แอนด์บีที่ฟังได้เรื่อยๆ เขาถนัดแนวนี้อยู่แล้ว ก็เริ่มลงรายละเอียดกันต่อว่าต้องการเนื้อหาแบบไหน” ยอร์ชเล่าถึงขั้นตอนการทำงานและชื่นชมทอยที่มาพร้อมไอเดียดีๆ เสมอ

“เพลง SEVEN นี้เกิดจากความคิดในคืนหนึ่ง อยากทำเพลงที่ตีความได้หลายแนว อาจหมายถึงแฟนที่เลิกรากันไป หรือสื่อถึงเพื่อนเก่าที่เคยมีความทรงจำดีๆ ร่วมกันก็ได้ ผมเป็นคนนอนดึกก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ความตั้งใจแรกยังไม่ได้คิดถึงขั้นทำเอ็มวีด้วยซ้ำครับ แต่พี่ทอยแนะนำว่าควรมีเอ็มวีปล่อยทางยูทูบประมาณเดือนเมษายน และทาง WHAT THE DUCK เสนอว่าควรจัดงานเปิดตัวพร้อมกับงานแฟนมีตในวันเดียวกัน ถ้าตรงกับวันเกิด 11 เมษายนของผมได้น่าจะดีที่สุด”

แม้ยอร์ชจะออกผลงานเพลงในนาม YORCH ENTERTAINMENT ด้วยงบลงทุนที่ควักกระเป๋าเองกว่า 2.6 ล้านบาท แต่ก็ได้ทาง WHAT THE DUCK มาเป็นที่ปรึกษาตั้งแต่ต้นจนจบ เขาเล่าว่าทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคม อัดเสียงเสร็จก็รีบถ่ายเอ็มวีต่อในช่วงต้นเดือนเมษายน เพื่อให้ทันงานเปิดตัว

“หลังพี่ทอยกลับจากต่างประเทศได้ 2 – 3 วัน ก็เริ่มส่ง verse 1 ท่อนฮุกมาให้ฟังเลยครับ จริงๆ ผมโอเคตั้งแต่แรกแล้ว แต่พี่ทอยบอกว่ายังต้องปรับอีกนิดนึง เขาก็หายไปอีก 1 – 2 วัน แล้วกลับมาใหม่พร้อมเมโลดี้แบบที่ทุกคนได้ฟังกันอยู่ตอนนี้เลย

“ในส่วนของเอ็มวี ผมให้โจทย์ไปว่าอยากได้มู้ด โทน แสงสี สถานที่ ฯลฯ แบบไหน ทีมงานก็ไปคิดเรื่องราวมานำเสนอครับ พี่ผู้กำกับเก่ง อายุน้อยอยู่เลยแค่ 23 – 24 ปี อย่างฉากที่ฝนตกบนโต๊ะอาหาร เขามองว่าในเนื้อดนตรีมีเสียงหยดน้ำด้วย ถ้ามีฝนเข้ามาสักหนึ่งฉากน่าจะได้ภาพที่สวยงาม และสร้างความน่าสนใจได้ดีกว่าดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆ”

สำหรับการเต้นที่เห็นในเอ็มวีเป็นเพียงการถ่ายทอดไปตามอารมณ์เพลงซึ่งไม่มีท่าเต้นตายตัว ยอร์ชเล่าว่าความยากอยู่ที่การถ่ายทำด้วยกล้องสโลว์โมชัน เพลงที่เปิดในขณะนั้นจึงต้องเร่งความเร็วไม่ต่ำกว่า 2 เท่า

“กลายเป็นเพลงที่ร้องโดยชิปมังก์เลยครับ มันเร็วมาก (หัวเราะ) ผมต้องเต้นด้วยความเร็วคูณสอง ต้องงับปากให้ทันตามเนื้อร้อง เหนื่อยมาก…ก แต่พอออกมาเป็นเอ็มวีที่ได้ภาพสโลว์โมชันสวยๆ หลายคนชม ผมก็ดีใจ” เขาอ่านคอนเมนต์ด้วยตัวเองทั้งในยูทูบ ทวิตเตอร์ และพบว่ามีแฟนคลับต่างชาติจำนวนไม่น้อย จึงวางแผนที่จะใส่ซับไตเติลเร็วๆ นี้

เมื่อให้เรียงลำดับทักษะที่ถนัดที่สุดในเวลานี้ ยอร์ชยกให้การเต้นเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือถ่ายแบบ ร้องเพลง และเล่นละครตามลำดับ ในขณะที่การให้สัมภาษณ์ในทอล์กโชว์หรือออกรายการวาไรตี้เป็นสิ่งที่เขาถนัดน้อยที่สุด

“ผมเต้นได้หมด แต่ที่ชอบเต้นบ่อยๆ คือฮิปฮอปครับ เราเริ่มเรียนตั้งแต่อายุ 16 แต่ก็เว้นไปถ่ายละคร หลังจากนั้นก็เรียนบ้างหยุดบ้าง นักเต้นที่ชอบมากก็คือ Melvin Timtim ครับ” ยอร์ชเอ่ยถึงนักออกแบบท่าเต้นสไตล์ฮิปฮอปที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Emmy Awards เมื่อปี 2019

“เพลงผมก็ฟังทุกแนวนะ แล้วแต่ช่วงด้วยครับ อย่างช่วงนี้อาจจะฟังอาร์แอนด์บีเยอะหน่อย ถ้าถามถึงการร้องทั่วไป ปกติผมชอบร้องเพลงป๊อป แต่ถ้าเป็นแนวเพลงที่ชอบฟังมากที่สุดก็ต้องยกให้ฮิปฮอปอาร์แอนด์บี ผมชอบฟังเพลงของ Justin Bieber เขาเป็นศิลปินในฝันที่อยากคอลแลบด้วย ถ้าเป็นคนไทยก็อยากร่วมงานกับ Milli (มินนี่ – ดนุภา คณาธีรกุล) และ Yourmood (บอย – สุรัตน์ รุ่งพิทธิกุล) ดูสักครั้งครับ”

ภายในปีนี้ยอร์ชวางแผนที่จะปล่อยผลงานเพลงอีกอย่างน้อยหนึ่งซิงเกิล ซึ่งเจ้าตัวคิดเอาไว้ว่าน่าจะเป็นเพลงเร็ว และอยากให้ทุกคนรอติดตามว่าโปรดิวเซอร์คนต่อไปของเขาจะเป็นใคร

เวทีปลดล็อกสุดปังก่อนเดบิวต์สเตจ

“ผมผ่านการโชว์ การร้องเพลงต่อหน้าคนเยอะๆ มาเรื่อยๆ แต่ทุกครั้งก็ยังสั่น ยังกลัวอยู่ตลอด พอกลับมาอยู่เมืองไทยช่วงแรกๆ ถ้างานไหนติดต่อมาให้ร้องเพลงผมปฏิเสธหมด จนถึงจุดหนึ่งที่รู้สึกว่าเราต้องก้าวข้ามเส้นความกลัวนี้ให้ได้ อยากลองดูสักตั้ง เลยตัดสินใจเริ่มรับงานร้องเพลง คิดแค่ถ้าผ่านเวทีแรกไปได้ อะไรๆ คงง่ายขึ้น

“ปรากฏว่าเวทีแรกในไทยก็สั่นๆ กลัวๆ เหมือนเดิมครับ แต่พยายามคิดว่าเราอยู่คนเดียว เพราะก่อนไปโชว์ผมขอคำแนะนำจากครูสอนร้องเพลงที่บอกให้คิดว่าเราอยู่ในห้องคนเดียว จะหลับตาร้องก็ได้ วันนั้นผมก็เลยร้องเพลงแบบหลับตาบ้าง ลืมตาบ้าง (ยิ้ม) เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด พอลงจากเวทีไปยังเสียดายว่าเราน่าจะทำได้ดีกว่านี้ แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกโล่งมากที่เราผ่านมันไปได้แล้ว” นักร้องหนุ่มผู้สร้างปรากฏการณ์ห้างแตก กล่าวสรุปก่อนเล่าต่อถึงโมเมนต์ของการเป็นแขกรับเชิญบนเวที B.I 2023 ASIA TOUR [L.O.L THE HIDDEN STAGE] IN BANGKOK

“ผมไปร่วมร้องเพลงกับ B.I เขาเป็นแรปเปอร์ชาวเกาหลีใต้ที่เชิญเราไปขึ้นคอนเสิร์ตครับ ก่อนโชว์ผมตื่นเต้นมาก แต่พอได้ขึ้นไปเล่นบนเวทีกับเขา สนุกจนลืมความเขิน ไม่รู้สึกเลยว่าเป็นเวทีที่ 2 ของตัวเอง อาจจะเป็นเพราะเราไม่ได้ขึ้นโชว์คนเดียว อีกอย่างแสงไฟบนเวทีก็สว่างจ้าจนมองคนดูไม่ค่อยเห็น เป็นความรู้สึกที่แตกต่างจากเวทีแรกมากครับ เราเอ็นจอยสุด ๆ และช่วยให้ตื่นเวทีน้อยลงมากในวันที่เปิดตัวเพลง SEVEN” ยอร์ชส่งต่อชั่วโมงบินถึงเวทีที่ 3 ซึ่งเป็นการร้องเพลงของตัวเองเป็นครั้งแรก ท่ามกลางสักขีพยานหลายร้อยชีวิตที่มาให้กำลังใจอย่างล้นหลาม

“ครั้งนี้มีเวลาซ้อม 2 วันครับ ผมได้วงแบ็กอัปของพี่ทอยมาเล่นให้ เป็นครั้งแรกเลยที่ได้ร้องกับวงดนตรีแบบนี้” เมื่อกระซิบถามว่าให้คะแนนตัวเองเท่าไหร่ในเวทีเดบิวต์ ยอร์ชบอกว่าให้ 7 – 8 คะแนน เพราะยังคุยกับคนดูไม่เก่ง

“ผมควรเอนเตอร์เทน ควรมีคำพูดดีๆ หรือเล่นกับแฟนคลับให้สนุกสนานมากกว่านี้ จริงๆ ก็ยังตื่นเวทีอยู่แหละครับ” ฉันอยากรู้ตามประสาพี่สาวข้างบ้านว่าประสบการณ์จากศาสตร์การแสดงพอจะช่วยได้ไหมในการรับส่งอารมณ์กับคนดูหน้าเวที เขาให้คำตอบที่ชวนเอ็นดูอยู่ไม่น้อยว่า “ตั้งแต่เด็กผมได้เล่นแต่บทเศร้าน่ะสิครับ ถัดจาก ‘วันเฉลิม’ บทดราม่าก็มาเรื่อยๆ เลย” ว่าแล้วภาพลูกชายยอดกตัญญูของแม่ลำยองในละครทองเนื้อเก้าเมื่อ 10 ปีก่อนก็ผุดขึ้นมาในหัว

ยอร์ชรีบเสริมว่าอันที่จริงเขาใช้วิธีดูการแสดงของศิลปินที่ชื่นชอบวนไปเรื่อยๆ เพื่อซึมซับต้นแบบที่ดี “ผมชอบดูเพอร์ฟอร์แมนซ์บนเวทีของ Bruno Mars เขาสุดยอดทุกทาง ทั้งร้อง ทั้งเต้น ทั้งเอ็นจอยกับคนดู โดยเฉพาะโชว์ของเพลง LEAVE THE DOOR OPEN ซึ่งดูยิ่งใหญ่และว้าวมากๆ”

ขีดความสามารถใหม่ที่ยากยิ่งแต่อยากพุ่งชน

“การทำเพลงนี่แหละครับ หมายถึงเริ่มตั้งแต่ทำดนตรีขึ้นมาเอง สิ่งนี้น่าจะยากที่สุดแล้วสำหรับผม อย่างการแต่งเพลง เราพอมีพื้นฐานมาแล้ว แต่การทำดนตรี การมิกซ์มาสเตอร์ ต้องใช้ทักษะการฟังเยอะ มันค่อนข้างซับซ้อน เราไม่เคยเรียนด้านนี้มาก่อน แต่ก็ยังอยากทำให้ได้ ตอนนี้พยายามเรียนรู้ด้วยตัวเองอยู่ครับ”

ยอร์ชเล่าถึงเหตุผลที่ไม่เลือกเรียนคณะด้านดนตรีโดยตรง เนื่องจากหลายคนสะท้อนว่าสาขาวิชานี้ไม่ง่ายเลย “ผมกลัวว่าถ้าเราเครียดกับสิ่งไหนมากเกินไป เราจะไม่สนุกกับมันจนไม่อยากทำสิ่งนั้น”

เขาจึงใช้วิธีลองผิดลองถูกจากอุปกรณ์ที่ขนมาไว้ในห้องนอนจนกลายเป็น ‘เบดรูมสตูดิโอ’ ขนาดย่อมที่ครบครันด้วยเปียโน กีตาร์ ไมค์ ลำโพง เครื่องมิกซ์เสียง ฯลฯ

“อะไรที่เขาว่าดี ผมเอาลองหมด ที่ผ่านมาก็ได้ลองอัดเสียงในห้องนอนบ้าง และมีที่อัดจากข้างนอกด้วย แต่ก็ยังไม่ชอบเท่าไหร่ครับ ต้องฝีกไปเรื่อยๆ ลองทำคนเดียวบ้าง ทำกับเพื่อนบ้าง ทั้งคนไทยและคนต่างชาติ”

ถามต่อถึงการที่คนๆ หนึ่งจะสามารถเค้นศักยภาพของตัวเองออกมาให้ได้มากที่สุด ชนิดที่ว่าสุดแล้วยังสุดได้อีก เหมือนความสำเร็จของยอร์ชที่ปรากฏผลในวันนี้ เบื้องหลังของแรงผลักดันนั้นประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ยอร์ชให้ความเห็นจากประสบการณ์ส่วนตัวว่า

“สำหรับคนอื่นอาจจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ แต่ในส่วนของผม สิ่งที่ทำให้มีความกล้าหรือผลักดันให้ทำอะไรได้มากขึ้นเกิดจากความกดดันหรือคำพูดที่เกินกว่าจะรับได้ มันไม่ค่อยดีสำหรับคนที่อ่อนไหวมาก ซึ่งจริงๆ ผมก็เป็นคนที่อ่อนไหวนะ เราอ่อนไหวแต่เราไม่ล้มเลิก ผมรู้สึกว่าเราต้องลงมือทำ แล้วเอาความสามารถที่พัฒนาได้สำเร็จมากลบคำพูดที่ไม่ดี มันยากนะกว่าจะผ่านอะไรต่างๆ มาได้” ยอร์ชเผยความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมาในวันที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ทว่าสิ่งที่เขายกให้เป็นอานุภาพสูงสุดก็คือพลังงานดีๆ จากคนรอบข้างที่คอยผลักดันเขาอยู่เสมอ

“ถ้าเจอแต่คำลบๆ แล้วอยู่ตัวคนเดียว ผมคงล้มเลิก แต่เรามีการพูดคุยกับเพื่อน กับคนรอบข้าง แลกเปลี่ยนเอาพลังงานดีๆ มาเติมให้กัน ชวนกันทำเรื่องสนุกๆ นี่คือส่วนสำคัญที่ทำให้ผมพัฒนาขึ้นมาก เพราะสุขภาพจิตที่ดีทำให้เรามีพลังที่จะทำอะไรต่อไปได้อีกเยอะ”

สำหรับอนาคตของบริษัท YORCH ENTERTAINMENT ที่เพิ่งเปิดตัวไปพร้อมกับซิงเกิลแรกนั้น ยอร์ชในฐานะผู้บริหารป้ายแดงกล่าวว่า เขาคงไม่ได้โฟกัสไปที่การผลิตนักร้องหรือไอดอล แต่สิ่งที่อยากทำเป็นพิเศษในอีก 5 – 7 ปีข้างหน้าก็คือ การส่งเสริมให้ศิลปินไทยในแวดวงดนตรีได้มีพื้นที่ในการแสดงมากขึ้น

“ในต่างประเทศมีรายการเพลงเยอะ มีเวทีให้ศิลปินได้ขึ้นโชว์เรื่อยๆ แต่อย่างบ้านเราระหว่างรอเทศกาลดนตรีที่นานๆ มาที ศิลปินหลายคนก็อาจต้องรับงานที่ร้านเหล้าไปพลางๆ ก่อน ถ้าวันหนึ่งผมมั่นคงแล้ว ผมอยากทำรายการเพลงให้ศิลปินไทยได้มีอีกหนึ่งเวทีในการขึ้นโชว์ความสามารถ รวมถึงการจัดงานประกาศรางวัลทางดนตรี ผมไม่อยากให้นักร้องหรือไอดอลไทยมีตัวเลือกแค่ผับบาร์” คำตอบของยอร์ชชวนให้เซอร์ไพรส์ได้มากทีเดียว

เรื่องลับๆ ของยอร์ช ที่น้อยคนนักจะได้รู้

ยอร์ชนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนเล่าว่า “ในห้องนอนผม นอกจากจะมีโซนสตูดิโอที่รกประมาณหนึ่งแล้ว ก็มี ‘โซนเลี้ยงสัตว์’ ด้วยครับ ผมเลี้ยงหนูแฮมสเตอร์ในห้องนอนเพราะกะจะแอบแม่เลี้ยง แต่แม่ก็ดันรู้ตั้งแต่วันแรกที่พาเข้าบ้านแล้ว น้องชื่อ ‘เต้าหู้’ เพราะตอนเจอกันคำว่าเต้าหู้ลอยออกมาจากหน้าน้องเลย (ยิ้ม)

“จริงๆ ผมอยากเลี้ยงหมา แต่แม่กลัวหมามาก ผมก็เลยแอบซื้อหนูแฮมสเตอร์ แต่พอมีหนูแฮมสเตอร์ ผมก็ยังไฟต์ขอแม่เลี้ยงหมาอยู่ดี (หัวเราะ) เลยได้ ‘ไข่ตุ๋น’ มา น้องเป็นพันธุ์มอลทีสสีขาว วันแรกแม่กลัวมาก ไม่ยอมลงมาข้างล่างเลย พอวันที่ 2 – 3 เริ่มขอลองอุ้ม เท่านั้นแหละอุ้มยาวเลย กล่อมแบบเด็กน้อยด้วย ตอนนี้แม่คุยกับหมาทั้งวันแล้ว”

ยอร์ชแซวความกลัวหมาของแม่ที่ไม่มีอยู่จริง สุดท้ายฉันถามยอร์ชว่ามีอะไรที่จะอยากสื่อสารกับแฟนคลับไหม เขามองไปที่เครื่องอัดเสียง พร้อมก้มหน้าลงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและตั้งใจว่า

“ผมอยากขอบคุณทุกคนมากจริงๆ ที่คอยสนับสนุนกัน ไม่ว่าผมจะเล่นละคร ทำงานเพลง หรือเลือกเดินในเส้นทางไหนก็ตาม ทุกคนยังคอยให้กำลังใจผมอยู่เสมอ อย่างสมมติงานเริ่มตอน 4 โมงเย็น แต่ผมรู้นะว่าแฟนคลับมารอกันตั้งแต่เที่ยง ผมดีใจมากที่คนมาเยอะ มาช่วยซัพพอร์ตกัน หน้างานอาจจะมีความผิดพลาดบ้าง มีความไม่สะดวกสบายบ้าง แต่ครั้งต่อ ๆ ไป ผมจะพยายามทำให้ดีขึ้นนะครับ”

Words: Sasi Akkomee
Photos: Sutthiwat Sangkong
Fashion Director: Daneenart Burakasikorn

Related Articles

เว็บไซต์ของเราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้ เราได้อธิบายความหมายและวิธีการใช้คุกกี้ของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถเข้าใจแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือการเปิดเผย รวมถึงทางเลือกในการใช้คุกกี้ของเรา อ่านเพิ่มเติม