Search
Close this search box.
Search
Close this search box.
HOME / Interview / People

‘อัด อวัช’ และ ‘เอม ภูมิภัทร’ ใน ‘ดอยบอย’ หนังไทยที่ไปตะโกนเล่าสิทธิมนุษยชนที่เทศกาลหนังปูซาน

Interview / People

เรามัก ‘ขอบคุณ’ แขกหลังสัมภาษณ์เสร็จเสมอ เนื่องจากเราเองตระหนักถึงคุณค่าใน ‘เวลา’ ของมนุษย์ทุกคน!

หลังจากเปิดประตูสตูดิโอขนาดย่อมๆ เข้าไป เก้าอี้ผ้าที่พิมพ์โลโก้ NETFLIX สองตัวตั้งคู่กันและทิ้งระยะห่างให้กับเก้าอี้ผู้สัมภาษณ์พอสมควร อัด-อวัช รัตนปิณฑะ นักแสดงผู้รับบท ‘ศร’ เด็กหนุ่มจากรัฐฉานที่ลักลอบเข้ามาในประเทศไทยอย่างผิดกฎหมาย และหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็น Sex Worker ในภาพยนตร์เรื่อง ‘ดอยบอย’ หนังแห่งค่ายเนรมิตรหนัง ฟิล์มที่ได้รับเลือกให้ฉายในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ พร้อมได้รับการเข้าชิงรางวัลคิมจีซอกที่มอบให้หนังเอเชียที่มีความโดดเด่นแห่งปี 

ในเทศกาลนั้น อัดหอบรางวัล Rising Star Award จากเวที Marie Claire with BIFF Asia Star Awards 2023 กลับบ้าน ที่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขากำลังยืนอมยิ้มห่างจากเก้าอี้เพียงเล็กน้อย ขณะที่ เอม-ภูมิภัทร ถาวรศิริ ผู้เบ่งบานในฐานะนายแบบและนักแสดงมากบทบาทซึ่งเคยแจ้งเกิดในภาพยนตร์เรื่อง ‘นคร-สวรรค์’ และ ‘อาชญาเกม’ ตลอดจนซีรีส์ดังอย่าง ‘เด็กใหม่ ซีซั่น 2’ ซึ่งขณะนี้เอมยืนอยู่ที่มุมห้องกำลังตกผลึกความคิดอะไรหนักๆ บางอย่างราวกับเป็น ‘วุธ’ ตัวละครที่เขาได้รับบทในภาพยนตร์เรื่องดอยบอย

“ขอบคุณที่พูดแทนคนดู…ฉากที่คุณทั้งสองสวมกอดกันภายใต้รอยแผลที่ถูกหน่วงเหนี่ยวช่างตราตรึงใจ มันมีความหมายในบริบทความเป็นมนุษย์มาก และเราสลัดออกจากหัวไม่ได้ ขอบคุณในความกล้าหาญครั้งนี้” เราเผลอพูดขอบคุณด้วยความรู้สึกจุกอกในระหว่างที่ทั้งคู่ทิ้งตัวลงในเก้าอี้คู่นั้น นี่เป็นการขอบคุณแขกครั้งแรกก่อนจะเริ่มสัมภาษณ์เลยด้วยซ้ำ

ทุกอย่างนิ่งเงียบ…เอมเองเมมปากแน่นพร้อมเขยิบเก้าอี้เข้าใกล้มากขึ้น ซึ่งพอจะสังเกตได้ว่าทั้งคู่เริ่มน้ำตารื้น ขณะที่อัดใช้กำปั้นทุบไปที่อกบริเวณหัวใจเบาๆ ราวกับเป็นนักกีฬาที่ได้ฟังเพลงชาติตอนขึ้นรับเหรียญ และเราเริ่มคำถามแรกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“ไม่เคยมีหนังไทยเรื่องยาวเรื่องไหนกล้าพูดในสิ่งที่ทุกคนเผชิญหน้ากับมันทุกวัน เราต่างเห็นผู้คนถูกกดขี่ ถูกทำให้ให้หายไปจากการมีอยู่”  

LIPS: ความรู้สึกแรกเมื่อได้อ่านบท

อัด: ผมอยากได้บทนี้! ผมต้องได้บทนี้! อ่านแล้วเห็นตัวเองเชื่อมโยงกับตัวละครศร และเรื่องนี้กำลังพูดประเด็นที่เราสนใจ ผมเกือบยอมแพ้ไปแล้วแต่พอเรื่องนี้ติดต่อเข้ามามันเหมือนกับว่าถ้าเป็นหนังเรื่องสุดท้ายในชีวิตก็ไม่เสียดายอะไร

เอม: ชื่นใจที่มีโปรเจกต์แบบนี้เสียที ทั้งที่มันควรจะเกิดขึ้นนานแล้ว เราหวังว่าดอยบอยจะไม่ใช่แค่เรื่องเดียวที่กล้าพูดประเด็นทางสังคมที่เซนซิทีฟ หรือประเด็นที่คนไม่กล้าพูดแต่เป็นความจริงที่เกิดขึ้น ไม่อยากให้เป็นแค่เรื่องเดียวแล้วหายไปอีก 5 ปี 10 ปี เพราะมันคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับคนที่ไม่มีเสียงจะพูด รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติมากที่ได้เล่าเรื่องนี้ผ่านการแสดง ซึ่งเป็นงานที่เราชื่นชอบ

LIPS: อัดรอบทแบบนี้มาถึง 11 ปีเชียว?

อัด: รอในหลายมุม หนึ่ง เป็นบทนําครั้งแรกในหนัง ที่ผ่านมาเราเป็นบทรองในซีรีส์มาโดยตลอด  สอง คือบทที่คนหยิบยื่นให้เพราะเห็นคุณค่าของเรา เห็นความสามารถหรืออะไรบางอย่างที่ท้าทายเราได้ และเป็นบทที่ต้องใช้ความพยายามและการอุทิศตนอย่างสูง การได้พูดเพื่อคนที่พูดไม่ได้ หรือคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองมีสิทธิ์จะพูด หรือเป็นกลุ่มคนที่สังคมทิ้งไว้ข้างหลัง มันช่างตรงกับจังหวะชีวิตเราพอดี ขณะที่เราเรียนทางด้านรัฐศาสตร์และอินกับบริบทความเป็นมนุษย์ และเราพยายามวิ่งแคสต์งาน ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้โอกาส แต่มันไม่ง่ายเลย! เหมือนหมาจนตรอกที่เกือบจะยอมแพ้แล้ว ผมเลยสู้เพื่อบทนี้ ถ้าได้บทนี้มาผมจะทุ่มให้หมดหน้าตัก

“ผมอยากทำอะไรที่ไม่ใช่เพื่อตัวเองอย่างเดียว แต่เพื่อคนอื่นด้วยซึ่งไม่ต้องเป็น สส. ไม่ต้องเป็นนักการเมือง เราพูดผ่านอาชีพของเรา” 

LIPS: ประเด็นหนังค่อนข้างอ่อนไหวต่อสังคม ใช้พลังถ่ายทอดแค่ไหน

เอม: ไม่ได้ใช้พลังมากขนาดนั้น มันไม่ใช่เรื่องใหม่สําหรับเรา สิ่งใหม่ก็คือไม่เคยมีหนังไทยเรื่องยาวเรื่องไหนกล้าพูดแบบนี้ พูดในสิ่งที่ทุกคนเผชิญหน้ากับมันทุกวัน เราต่างเห็นผู้คนถูกกดขี่ ถูกทำให้ให้หายไปจากการมีอยู่ พอเราได้มาถ่ายทอดในบทบาท เหมือนมีพลังมาก มีกำลังใจมากเหลือเกินเพราะได้ปลดปล่อยอะไรที่อัดอั้นมานาน แต่ที่เป็นห่วงคือจะพูดออกมาได้ครบถ้วนไหม มีอะไรตกหล่นหรือเปล่า หรือเราได้เป็นตัวแทนของพวกเขาอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว และเชื่อว่าทีมงานทุกคนก็คิดแบบนี้ครับ

LIPS: เราหยั่งเชิงตัวเองอยู่ว่าจะกล้าเล่นบทนี้เหมือนพวกคุณไหม

อัด: ผมพูดมาตลอด ผมเคยเจอช่วงที่ยากลำบากด้วยหน้าที่การงานต่างๆ มีคนบอกให้ผมเงียบ แต่ผมรู้สึกเสมอว่าถ้ามีโอกาส ผมจะพูดในสิ่งที่อยากพูด โดยเฉพาะโอกาสที่มาในรูปแบบของงานที่ผมรัก แล้วทำไมถึงจะไม่ทำ? นี่คือโอกาสที่โคตรพิเศษเลยที่ชีวิตไม่รู้ว่าจะมีอีกเมื่อไร ไม่ได้มีความกลัวอยู่ในนั้นสักนิด ในที่สุดก็มีคนที่เชื่อและเห็นคุณค่าในสิ่งเดียวกัน สิ่งต่างๆ เหล่านี้ควรจะเป็นปกติในสังคมได้แล้ว และในฐานะนักแสดง ผมอยากทำอะไรที่ไม่ใช่เพื่อตัวเองอย่างเดียว แต่เพื่อคนอื่นด้วยซึ่งไม่ต้องเป็น สส. ไม่ต้องเป็นนักการเมือง เราพูดผ่านอาชีพของเรา ในวิธีการของเรา

“มันคือเรื่องของระบบโครงสร้าง…การใช้อำนาจกดขี่ให้คนไม่มีทางเลือกแล้วหันมาโจมตีกันเอง หรือตกอยู่ในสภาพดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอด โดยทำให้ลืมไปว่าเราต้องมี empathy กับเพื่อนมนุษย์”

LIPS: คาดหวังว่าหนังจะส่งให้เกิดแรงกระเพื่อมทางสังคมไหม

เอม: เราแค่รอให้คนมาดูมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ครับ เพราะสิ่งที่เราต้องการพูดถูกบรรจุอยู่ในนั้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนแล้ว ที่เหลือเป็นหน้าที่ของคนดูว่าเขาได้อะไรหลังจากนั้น เราเปิดกว้างมากๆ คุณอาจจะจอยกับการเห็นอัดเต้นก็ได้ เห็นก้นของอัดก็ได้ (ยิ้ม)

อัด: ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้มันเกิดแรงกระเพื่อมในแง่ที่ว่าคนดูดูแล้วหันมาสนใจประเด็นเหล่านี้มากขึ้น หรือให้เกิดการพูดคุยกันต่อ และคนที่ไม่เคยรู้ก็จะได้รู้ว่ามีปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นจริงๆ บนโลก

LIPS: ถ้าสิ่งที่มันเงียบไป…ลุกฮือกัมปนาทขึ้นมาอีก นั่นคือความสำเร็จของหนังไหม

อัด-เอม: (ตอบพร้อมกัน) สำเร็จครับ!

“หากมีหนังคล้ายดอยบอยเข้ามาอีกเป็นระลอกคลื่น สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือคนในสังคมจะตระหนักถึงสิทธิของตัวเอง และจะไม่ยอมถูกอำนาจอะไรที่เคยเป็นบรรทัดฐานกดขี่เขาอีกต่อไป” 

เอม: ถ้ามันจะเกิดการแรงกระเพื่อมขนาดนั้น ก็หวังว่าจะนําไปสู่การเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายเราก็ยังไม่เคยเห็นหนังเรื่องไหนที่มันเปลี่ยนโลกได้ แต่สิ่งที่เปลี่ยนโลกจริงๆ คือพฤติกรรมของคนต่างหาก ถ้าเกิดมีคําว่าลุกฮือ แต่สุดท้ายกลายเป็นคลื่นกระทบฝั่ง เงียบไปก็น่าเสียดาย แต่ว่าถ้าทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง หรือว่าปัญหาบางอย่างที่เคยจบไปแล้วถูกนํามาพิจารณาใหม่ และถูกสะสางต่อให้จบอย่างยุติธรรมและเป็นธรรม ในแง่นี้หนังก็ค่อนข้างจะสำเร็จ หากมีหนังคล้ายดอยบอยเข้ามาอีกเป็นระลอกคลื่น สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือคนในสังคมจะตระหนักถึงสิทธิของตัวเอง และจะไม่ยอมถูกอำนาจอะไรที่เคยเป็นบรรทัดฐานกดขี่เขาอีกต่อไป ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่หนังเรื่องเดียวแล้ว ตู้ม! เปลี่ยนไปทุกอย่าง

LIPS: ตัวละครกำลังต่อสู้กับระบบอะไร 

เอม: ระบบที่เราหลีกหนีไม่ได้ มันคือเรื่องของระบบโครงสร้างในประเทศ ไม่ใช่แค่ที่นี่ แต่คือทุกที่ที่มีระบบ การใช้อำนาจกดขี่ให้คนไม่มีทางเลือกแล้วหันมาโจมตีกันเอง หรือตกอยู่ในสภาพดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอด โดยทำให้ลืมไปว่าเราต้องมี empathy หรือความเข้าอกเข้าใจเพื่อนมนุษย์ ที่บางครั้งเราเผลอกระทำอะไรบางอย่างไปแล้วมาคิดได้ทีหลัง ระบบกำหนดให้คนกลุ่มนี้ไม่มีทางเลือกในชีวิต และยอมจำนนต่อโครงสร้างหรืออำนาจด้านบน

LIPS: ตัวละครหลายตัวห่างไกลจากคุณภาพชีวิตที่ดี

อัด: ผมรับบทเป็นศร ตัวละครที่ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าสิทธิของเขาในฐานะมนุษย์คืออะไร เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชีวิตมีทางเลือกอะไรบ้าง เพราะถูกบังคับภายใต้สถานการณ์และเงื่อนไขบางประการ คนที่ไม่ได้มีความฝันอะไร ไม่ได้รับรู้อะไร พอเรามารับบทเป็นเขา ซึ่งในชีวิตเรารับรู้ว่าอย่างยิ่งยวดถึงสิทธิที่พึงมีหรือสิ่งที่ควรพูด มันเลยเจ็บปวดตรงนี้ เราต้องถอดหน้ากากตรงนี้ก่อนเพื่อเชื่อมโยงและสร้างความสัมพันธ์กับตัวศร ผมได้แต่พูดอยู่ไกลๆ ว่า มึXควรได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้นะเว้ย ศร! ผมเป็นหนึ่งคนที่ช่วยพูดอยู่ข้างหลังในฐานะที่เป็นอัด อวัช เป็นที่รับบทศรครับ 

“บ้านคือสิ่งที่เราเลือก สําหรับคนบางคนก็จีรังเหลือเกิน สําหรับบางคนก็ชั่วคราวเหลือเกิน มันเป็นสิ่งลึกลับครับ”

LIPS: ตัวละครบางตัวตัวเล็กมากแต่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน เมื่อเขาลุกขึ้นสู้โดยที่ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะชนะ

เอม: วุธไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสู้ครับ แต่สุดท้ายเขาก็สู้ไม่ได้อยู่ดี แม้การเลือกที่จะมีชีวิตอยู่เหมือนเป็นการพ่ายแพ้ แต่เป็นการแพ้แค่ศึก แต่ไม่ใช่สงคราม เขาอาจจะสะสมกองกำลังอยู่ก็ได้ ในเมื่อคุณเห็นปัญหาแล้ว คุณเห็นคนที่ได้รับผลกระทบ คนที่ทรมานจากระบบโครงสร้างเหล่านี้ เมื่อพวกเขาเข้าใจและตาสว่างว่าปัญหายังอยู่ ก็เหลือทางเลือกเดียวคือสู้ ยิ่งตัวละครนี้มีการเสียของรักเกิดขึ้น มันเลยทวีคูณพลังเพื่อต่อสู้ให้คนอื่นและตัวเองไปพร้อมๆ กัน และคําถามที่ว่าทําไมเขาถึงเลือกสู้ เพราะว่าเขารู้สึกว่ามันคือทางเลือกเดียวที่ทําให้ชีวิตดีขึ้นได้

LIPS: ตัวละครในหนังตามหา ‘บ้าน’ ของตัวเอง มันคือสถานที่อยู่ของจิตใจ แล้วบ้านของอัดและเอมเป็นแบบไหน

เอม: ผมว่าบ้านคือสิ่งที่เราเลือก มันสามารถเปลี่ยนไปตามตัวเรา ซึ่งไม่จําเป็นว่าบ้านหลังแรกจะต้องเป็นบ้านหลังสุดท้าย และสถานที่ที่เคยเป็นบ้านก็อาจไม่ใช่บ้านในปัจจุบันของเรา หรือหากวันนี้คุณยังไม่เจอบ้านของตัวเอง อีกสัก 5 ปี 10 ปี คุณอาจเจอสิ่งที่คล้ายคลึงหรือที่พอจะเรียกมันว่าบ้านก็ได้ สําหรับคนบางคนก็จีรังเหลือเกิน สําหรับบางคนก็ชั่วคราวเหลือเกิน มันเป็นสิ่งลึกลับครับ และจะเป็นสถานที่ไหนก็ให้บุคคลในแต่ละช่วงเวลา หรือเคมีในร่างกายตัดสินว่าสิ่งนี้คือบ้านของคุณหรือเปล่า

อัด: ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่ไหนคือบ้านของผม อันนี้เรื่องจริงครับ ผมกําลังตามหาอยู่เหมือนกันว่าบ้านของผมเป็นอย่างไร เป็นบุคคล หรืออะไร สิ่งไหนก็ยังตอบไม่ได้ และก็ยังตามหาเช่นเดียวกับตัวละครในหนัง

“Sex Worker คือคนทํางานคนหนึ่ง คนกลุ่มนี้ไม่ควรถูกตัดสินว่าเขาผิดแปลกไปจากคนอื่นด้วยบรรทัดฐานของสังคม…มันก็คือหนึ่งงานที่มีคนมากมายเข้ามาใช้บริการ”

LIPS: ขอคำจำกัดความ…สำหรับเอมคือ ‘การเห็นต่างทางการเมือง’ และของอัดคือ ‘Sex Worker’

เอม: ผมไม่เชื่อว่าการเห็นต่างกับทางการเมืองจะมีน้ำหนักพอให้คนห้ำหั่นกัน อ้ะ! ผมเชื่อก็ได้ แต่เชื่อว่ามันเป็นส่วนเสริมทางความคิด การที่คุณเห็นต่างกับใครสักคนหนึ่ง คุณไม่จําเป็นต้องห้ำหั่นหรือผลักไสเขาออกจากสังคม เรารู้สึกว่าการเห็นต่างทางการเมืองมันเป็นเรื่องเล็กมาก ทุกคนสามารถยืนในจุดของตัวเองได้ถ้าเรามีความเข้าอกเข้าใจกันมากพอ 

สำหรับผม การเห็นต่างทางการเมืองโคตรเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วเลย ผมเป็นเพื่อนกับคนที่เห็นต่างเยอะมาก และเคารพพวกเขาในทุกแง่ ทุกมิติของชีวิต ผมเข้าใจ ผมรักเขา ต่อให้ผมเกลียดแนวความคิดทางการเมืองเขาแค่ไหน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเกลียดตัวเขา ซึ่งผมเข้าใจว่าเป็นเรื่องยากที่จะแยกสองอย่างนี้ออกจากกัน เพราะว่าสุดท้ายความคิดทางการเมืองมันคือตัวตนของเรา แต่คนที่มีความคิดอยากจะห้ำหั่นกันคนแรก นันคือจุดเริ่มต้นของปัญหา ซึ่งเราต้องใช้ความ Empathy เข้าใจแนวคิดของทั้งสองฝ่ายครับในการที่จะพูดคุยเพื่อหาทางออกร่วมกันกันให้ได้

“ผมเป็นเพื่อนกับคนที่เห็นต่างเยอะมาก ต่อให้ผมเกลียดแนวความคิดทางการเมืองเขาแค่ไหน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเกลียดตัวเขา”

อัด: Sex Worker สําหรับผม Work is Work ครับ เขาคือคนทํางานคนหนึ่ง คนกลุ่มนี้ไม่ควรถูกตัดสินว่าเขาผิดแปลกไปจากคนอื่นด้วยบรรทัดฐานของสังคม หรือด้วยกรอบทางความคิดว่ามันเป็นงานที่ไม่สวยงามหรือเป็นงานที่ผิดศีลธรรม ทั้งที่จริงๆ แล้ว มันก็คือหนึ่งงานที่มีคนมากมายเข้ามาใช้บริการ การโดนลดทอนคุณค่าต่างๆ ทำให้เขาถูกผลักไสออกไป และผมมองว่ามันไม่ใช่อาชญากรรม และที่สังคมมองว่าพวกเขามีปัญหา อันนั้นเป็นเรื่องปัจเจกบุคคล สิ่งสําคัญคือการมองในมุมของสวัสดิการว่าอย่างไรจึงจะเหมาะสม อันนี้ในกรณีที่เขาเต็มใจทำ แต่ถ้าไม่เต็มใจทำก็ต้องมาดูมาตรการการช่วยเหลือ และมาตรการการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ครับ 

LIPS: ฉากหวือหวา คุณเล่นเองทั้งหมดเลยไหม

เอม: ไม่ครับ สตั๊นต์แมนครับ (ยิ้มเล็กน้อย)…

อัด+เอม: (หัวเราะ) ฮ่าๆๆ ไม่สิ ๆๆ เล่นเองครับ

อัด: ผมเป็นนักแสดง ก็แค่รู้สึกว่าเราเป็นตัวละคร เราต้องถ่ายทอดสิ่งที่เขาตัดสินใจทำ เข้าไปในจิตวิญญาณหรือตัวศรจริงๆ ในฐานะนักแสดงเราอยากจะซื่อตรงกับคาแรกเตอร์ที่เรากําลังสื่อสารให้เต็มที่ที่สุด ก็เลยไม่ได้มีปัญหาในเรื่องนี้

“ผมอยากให้หนังออกมาดี อยากให้ผู้กํากับและนักแสดงคนอื่นที่ทํางานร่วมกัน รวมถึงทีมงานทุกคนรู้สึกว่า แม่X! คิดไม่ผิดที่เลือกไอ้นี่มาเล่น เราเลยให้ไปทั้งหมดที่มี”

LIPS: หนังประสบความสำเร็จ ได้รับการฉายในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติปูซาน อัดคว้ารางวัล Rising Star Award มานอนกอด

อัด: ก่อนมาเจอหนังเรื่องนี้คือถอดใจแล้ว ถอดใจจริงๆ แต่เรื่องนี้เหมือนชุบชีวิตเรา ทำให้เรารู้ว่ายังอยากทำอาชีพนี้อยู่ และรู้ว่าจะทำมันไปในทิศทางไหน หรือทำไปเพื่ออะไร มันตอบเราในหลายมิติมาก แล้วไม่คาดคิดหรอกครับว่าจะได้รางวัลด้วย สําหรับเรามันคือคือโอกาสใหญ่ที่มีความหมาย แค่ทําเต็มที่ในฐานะนักแสดง ผมคิดแค่นั้น ผมอยากให้หนังออกมาดี อยากให้ผู้กํากับและนักแสดงคนอื่นที่ทํางานร่วมกัน รวมถึงทีมงานทุกคนรู้สึกว่า แม่X! คิดไม่ผิดที่เลือกไอ้นี่มาเล่น เราเลยให้ไปทั้งหมดที่มี โอกาสนี้คืออีกสักครั้งในชีวิตที่มาต่อความฝันที่มันจบไปแล้ว และไปได้ไกลเกินกว่าที่คิดไว้มาก (ยิ้ม)

“หวังว่าหนังจะนําไปสู่การเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายเราก็ยังไม่เคยเห็นหนังเรื่องไหนที่มันเปลี่ยนโลกได้ แต่สิ่งที่เปลี่ยนโลกจริงๆ คือพฤติกรรมของคนต่างหาก”

Words: Varichviralya Srisai
Photos:
 Somkiat Kangsdalwirun

Related Articles

เว็บไซต์ของเราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้ เราได้อธิบายความหมายและวิธีการใช้คุกกี้ของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถเข้าใจแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือการเปิดเผย รวมถึงทางเลือกในการใช้คุกกี้ของเรา อ่านเพิ่มเติม