Search
Close this search box.
Search
Close this search box.
HOME / Interview

Stay Positive – NARONG

จากเรือสำราญ ชุดแต่งงานสุดหรู สู่หน้ากากผ้าสไตล์กูตูร์ของ ณรงค์ เกตุแก้ว
Interview

กว่า 12 ปีมาแล้วที่ ณรงค์ เกตุแก้ว ได้สร้างสรรค์ชุดแต่งงานอันงดงาม วิจิตรบรรจงด้วยงานฝีมือแสนประณีต แต่เส้นทางก่อนหน้าที่ณรงค์จะยืนหยัดอยู่ในฐานะดีไซเนอร์เจ้าของห้องเสื้อ NARONG เช่นในวันนี้ไม่ได้ราบรื่นหรูหราเหมือนผืนผ้าไหมผสานผ้าลูกไม้แบบที่เราพบเห็นบนชิ้นงานของเขา เพราะกว่านำพาแบรนด์ที่เจ้าสาวใฝ่ฝันจะสวมใส่ในสำคัญมาถึงจุดนี้ได้ต้องอาศัยพลังขับเคลื่อน และฝ่าฟันอุปสรรคไม่ใช่น้อยๆ


     ณรงค์เรียนจบด้านธุรกิจการโรงแรมและการท่องเที่ยว เขาเริ่มต้นทำงานบนเรือสำราญที่ทอดสมออยู่ใต้ท้องทะเลริมชายหาดไมอามี่ ฟังดูเหมือนเป็นชีวิตการทำงานที่รายล้อมด้วยความเบิกบาน แต่แท้จริงแล้วทุกๆ วันกลางผืนน้ำเวิ้งว้างผ่านไปกับงานหนักหนาสาหัส 

     “งานบนเรือสำราญหนักมาก แถมยังต้องใช้ชีวิตอยู่แต่บนเรือก็เลยลาออก แล้วเนื่องจากว่า เรามีพาสปอร์ตที่เรียกว่า Seaman Book จึงลองสมัครงานที่อื่นดู จนกระทั่งได้ไปทำงานบนไพรเวทยอชต์ของตระกูลเศรษฐีชาวคูเวต ทำอยู่กับเขาประมาณ 2 ปีครึ่งได้

     …การทำงานบนนั้นทำให้เราได้เห็นชีวิตของคนรวยระดับอภิมหาเศรษฐี สิ่งที่ทำให้เราทึ่ง สมมติเขามาอยู่บนเรือ 4 เดือน เขาก็จะย้ายพนักงานที่เป็น Main Office ทั้งหมดมา Work from Yacht กันเลย เขาตื่นขึ้นมาทานเบรคฟาสต์ ระหว่างทานมื้อเช้าจะมีคนมารายงานว่า ธุรกิจเป็นอย่างไร โดยมี Personal Assistant ประมาณ 4 คน คอยรายงาน เวลาไปซูเปอร์มาร์เก็ตจะมีคนคอยเข็นรถเข็น 5 คัน อยากทานอะไรก็โกยใส่รถเข็นโดยไม่ต้องเช็คราคา ถ้าไปช้อปปิ้งตามช็อปซูเปอร์แบรนด์ อยากได้รองเท้าคู่นี้มีกี่สี เอาอย่างละ 3 คู่ไปเลย ไม่ต้องคิด”

     ประสบการณ์ในครั้งนั้นทำให้เขาได้เรียนรู้ไลฟ์สไตล์หรูหราของกลุ่มคนที่มีกำลังจ่ายแบบไม่ยั้ง และเมื่อกลับมาเมืองไทย หลังจากทำงานประจำที่ S  Medical Spa อยู่สักพัก ก็เริ่มมุ่งหน้าไปยังสิ่งที่หลงใหลมานานนั่นก็คือ การตัดชุดสวยๆ ให้คนรู้จักได้สวมใส่ จนกระทั่งเริ่มจริงจังกับงานอดิเรกถึงขั้นลาออกมาเปิดร้านตัดชุดแต่งงานและชุดราตรีภายใต้นามของตัวเอง และเข้าศึกษาด้านแฟชั่นที่สถาบันออกแบบนานาชาติชนาพัฒน์เพื่อให้เข้าใจในศาสตร์การตัดเย็บให้ดียิ่งขึ้น และได้เรียนรู้เรื่องแบรนด์ DNA จากรายการแฟชั่นเรียลลิตี้ของนิตยสารแฟชั่นชั้นนำ

     “ย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ผมได้ไปแข่ง Vogue Who’s On Next นั่นเริ่มจุดประกายให้เรารู้จักการสร้างแบรนด์ ซึ่งต้องคำนึงถึงแบรนด์ DNA ซึ่งประกอบไปด้วย หนึ่ง Craftsmanship งานฝีมือเย็บ ปัก ถัก ร้อย เรามีทีม In House ออกแบบลายปักเอง สอง Sensuality ใส่แล้วเย้ายวน เซ็กซี่ หวานซ่อนเปรี้ยว สาม Femininity เราต้องการให้ผู้หญิงใส่เสื้อผ้าของเราแล้วรู้สึกว่า ได้เติมเต็มความเป็นผู้หญิงของเขา และ  Uniqueness งานของเราเป็น custom made เพราะฉะนั้น มันไม่เหมือนใครอยู่แล้ว”

     ด้วยสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ที่ส่งผลให้แวดวงธุรกิจหยุดชะงัก งานอีเว้นต์ที่มีการรวมตัวของกลุ่มคนต้องงดเว้นไปก่อน นั่นทำให้คนทำงานมาตลอด 12 ปีอย่างณรงค์ต้องพักการผลิตผลงานอันแสนวิจิตรไปก่อนเช่นกัน แต่เขาก็ยังมีกำลังใจที่แข็งแกร่ง และสามารถมองเห็นแง่งามท่ามกลางวิกฤตในครั้งนี้

     “ช่วงนี้คนไม่ใช้จ่ายเลย ซึ่งเราเชื่อว่า คนในวงการแฟชั่นหลายๆ แบรนด์ก็คงเจอ ยิ่งเราทำชุดออกงาน ชุดเจ้าสาว ซึ่งตอนนี้งานทุกอย่างเป็นศูนย์ แต่เราเป็นคนคิดบวกอยู่แล้ว เราจึงคิดว่า งานไม่ได้ cancel  แต่เขาแค่เลื่อนออกไปก่อน พอเหตุการณ์ครั้งนี้ผ่านไป งานทุกอย่างจะถาโถมกลับมา

“ตอนนี้เจ้าสาวที่จะตัดชุดกับเราเลื่อนไปถึงสิ้นปีหมดเลย จากเดิมเรามีลูกค้าวันละหลายคิว ทุกวันนี้จำนวนลูกค้าเป็นศูนย์เลย เพราะถึงลูกค้าจะทักมาถามว่า เปิดไหม เราก็ต้องรักษา Social Distancing จึงไม่ได้เปิดรับลูกค้า แต่ถามว่า กลัวโควิดไหม จริงๆ แล้วเรากลัวอดตายมากกว่า”

     …สิ่งหนึ่งที่เราต้องทำความเข้าใจกับเหตุการณ์นี้ คือ หนึ่ง ไม่ใช่เราคนเดียวที่เจอผลกระทบนี้ สอง เป็นเหตุการณ์ที่เจอกันทั่วโลก สาม เราต้องรับผิดชอบตัวเราเองก่อน ถ้าเราป้องกันตัวเอง ดูแลตัวเองดี มันก็ช่วยได้ เราคิดแค่นี้ เราก็ไม่เครียดแล้ว เราไม่ไปตามดูจำนวนผู้ป่วยตอนนี้ขึ้นไปถึงไหนแล้ว เพราะรู้สึกว่า ตื่นเช้ามารับข่าวสารเรื่องนี้แล้วรู้สึกเครียด สู้เอาเวลาหาข้อมูลพวกนั้นมาคิดว่า จะอยู่อย่างไร จะหาเงินอย่างไรดีกว่าในช่วงวิกฤตแบบนี้”

     จากนั้นมาช่างตัดเย็บชุดราตรี และชุดแต่งงานจึงเปลี่ยนมาตัดเย็บหน้ากากผ้าลูกไม้ดีเทลหวาน เพิ่มรายละเอียดให้น่าตื่นตาด้วยงานปักอันประณีต ที่สำคัญหน้ากากสวยชวนฝันเหล่านี้ยังสามารถป้องกันเชื้อโรคและไวรัสได้จริง

     “เราเริ่มคิดว่า ในร้านเรามีอะไรอยู่บ้าง เพราะเราไม่อยากมีต้นทุนเพิ่มขึ้นมา แล้วค่อยคำนึงถึงว่า ต้องใช้งานได้จริง ป้องกันได้จริง เพราะคนต้องการความปลอดภัย เราก็ไปทำรีเสิร์ชว่า ควรต้องใช้ผ้าแบบไหนถึงจะถูกต้องตามหลักของกรมวิทยาศาสตร์ จนกระทั่งไปได้ผ้า anti-bacteria ที่เป็น cosmetic grade มาจากญี่ปุ่น แล้วต้องใช้ผ้ามัสลินอีกสองชั้นในการป้องกันฝุ่น ละอองฝอยน้ำ แล้วผ้าทุกอย่างต้องทำความสะอาดโดยการสตีมก่อนทุกครั้ง มีช่องสำหรับเปลี่ยนไส้กรองด้วย สามารถซักโดยการขยำเบาได้กว่า 30 ครั้ง ต้องไม่ขยี้เพราะดีเทลของเราส่วนใหญ่เป็นลูกไม้ ซักเสร็จก็นำมารีดเป่าไอน้ำหน่อยก็สวยเหมือนเดิม

     …เราทำความสะอาดร้าน ฉีดฆ่าเชื้อทุกอย่าง ลูกน้องต้องใส่ถุงมือสวมหน้ากากทำงาน ก่อนเข้างานต้องวัดไข้ ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์แทบจะทุกๆ ชั่วโมง เพราะเราอยากให้คนนำไปใช้แล้วปลอดภัยจริงๆ

     …ส่วนดีไซน์เราอยากทำดีไซน์ที่เป็น DNA ของเรา ต้องใส่ดอกลอย ใส่ลูกไม้ มีงานปักเข้าไป ซึ่งผลตอบรับก็ดีเกินคาด ต่อไปเราก็ทำซีรีส์อื่นๆ ทำเป็นลิมิเต็ดอีดิชั่นบ้าง แต่ตอนนี้ก็ดีใจนะที่มีคนก็อปเราไปหลายเจ้าแล้วกลายเป็น trendsetter ไปโดยปริยาย (หัวเราะ)

     …พอมีเหตุการณ์แบบนี้เราก็เลยได้ไอเดีย ไอเดียใหม่ๆ ผุดขึ้นมาได้ทุกวัน เริ่มแรกอยากทำหน้ากากแม่ลูก แล้วก็เริ่มลามไปสู่พ่อลูก จากนั้นก็ไปถึงครอบครัวเลย ของผู้ชายนี่ใช้ตัวเองเป็นนายแบบ ถ่ายแบบเองเลย (หัวเราะ) อยากให้เห็นว่า คนธรรมดาก็ใส่ได้ แล้วยังทำถุงมือเป็นกิมมิกสนุกๆ เสริมเข้ามาด้วย ทำแบบลิมิเต็ดไม่ได้ผลิตเยอะ เพราะเป็นงานฝีมือที่ใช้เวลาทำนาน ซึ่งลูกค้าก็แฮปปี้ เพราะถึงแม้จะมีวิกฤตเรื่องโรคระบาดเข้ามา แต่เราเชื่อว่า หลายคนก็ยังอยากสวย อยากสนุกกับการแต่งตัวอยู่”

     สิ่งหนึ่งที่ดีไซเนอร์ผู้นี้ได้เรียนรู้จากวิกฤตที่เข้ามาประชิดตัวโดยไม่ทันได้ตั้งตัวก็คือ การขายสินค้าผ่านแพลทฟอร์มออนไลน์

     “ก่อนหน้านี้ไม่ได้คิดเรื่องการขายออนไลน์เลย รู้แค่ว่า โพสต์รูปชุดในอินสตาแกรม แล้วถ้าใครสนใจก็นัดหมายเข้ามาดูที่ร้าน เพราะชุดแต่งงานเป็นของราคาแพง ลูกค้าก็ต้องอยากดูดีเทล อยากเห็นของจริงก่อน ข้อดีของเหตุการณ์นี้สำหรับเราก็คือ ได้รู้ว่า การขายของออนไลน์มันสนุกมาก การลงโฆษณาต้องทำอย่างไร ควรจะลงเวลาไหน ควรใช้คำอย่างไร

     ณรงค์บอกกับเราว่า คนอาจจะมองว่า แนวคิดของเขาในช่วงที่ทั้งโลกต้องเผชิญชะตากรรมเช่นนี้อาจจะฟังดู “โลกสวย” แต่เขายังเชื่อมั่นในมุมมองที่ช่วยยกย้ายจิตใจให้ปักหลักอยู่ในแดนบวก

“เรารู้ว่า มันมีโรคระบาดแล้วเราก็ต้องรับผิดชอบตัวเอง ดูแลตัวเองให้ดี แล้วก็คิดบวก พอเราย้ายใจไปอยู่ในแดนบวก แล้วรอบตัวเราก็มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้น มีอะไรให้เรียนรู้เพิ่มขึ้นจากเหตุการณ์นี้” 

     หลังจากพักสักระยะแล้ว ช่วงเดือนกรกฎาคม NARONG ก็พร้อมเดินหน้าเปิดคอลเล็กชั่นชุดเจ้าสาวอย่างเต็มตัว ทั้งยังแพลนว่า จะเปิดตัวในรูปแบบนิทรรศการที่ผู้ชมสามารถเข้ามาชื่นชมรายละเอียดของชุดได้อย่างใกล้ชิด และยังสามารถโพสต์ผ่านแพลทฟอร์มโซเชียลมีเดียให้คนเข้าไปดูย้อนหลังได้อีกด้วย

     นอกจากนี้หากเจ้าสาวคนไหนยังมองหาชุดแต่งงานที่ใช่ก็สามารถเข้ามาปรึกษาวางแผนตัดชุดไว้ล่วงหน้าได้ และภายในปีนี้ NARONG ตั้งใจว่าจะทำเสื้อผ้า ready-to-wear ออกมาในรูปแบบลิมิเต็ดอีดิชั่นที่แฟนๆ ของแบรนด์ต้องเตรียมตัวจับจองกันแต่เนิ่นๆ 

     และไม่ว่าสถานการณ์ในภายภาคหน้าจะดำเนินไปในทิศทางไหน สิ่งหนึ่งที่ดีไซเนอร์ผู้นี้เชื่อมั่นเสมอมาก็คือ

     “เราเชื่อในความเป็นไปได้ โดยปกติเวลาเจอปัญหา เราจะเอาหลักความเป็นจริงมาดูก่อน ไม่เอาอารมณ์เป็นตัวตัดสิน เราดูว่า เกิดอะไรขึ้นแล้วเราจะแก้ต่อไปอย่างไรมากกว่า”

     และคงไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้หากเราใช้สติและปัญญาฟันฝ่าปัญหาที่ต้องเผชิญ

Photography : NARONG Official

Related Articles

เว็บไซต์ของเราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้ เราได้อธิบายความหมายและวิธีการใช้คุกกี้ของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถเข้าใจแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือการเปิดเผย รวมถึงทางเลือกในการใช้คุกกี้ของเรา อ่านเพิ่มเติม