![](https://www.lips-mag.com/wp-content/uploads/2023/12/AW_FIREHEAD_WEB_MAIN-01-1024x538.jpg)
ย้อนกลับไปเกือบ 20 ปีก่อน ‘ถั่วงอกและหัวไฟ’ ของทรงศีล ทิวสมบุญ เป็นหนึ่งใน Graphic Novel เล่มแรกๆ ที่บุกเบิกให้นิยายภาพของไทยได้รับการยอมรับในฐานะวรรณกรรมสมัยใหม่
เรื่องราวของถั่วงอกและหัวไฟดำเนินต่อเนื่องตามกาลเวลา จากเล่ม 1 ถึงเล่มที่ 10 ขยายขอบเขตเนื้อหาจนกลายเป็นโลกแห่งจิตนาการที่มีแฟนหนังสือติดตามจำนวนมาก ทรงศีลพาถั่วงอกและหัวไฟ พร้อม Graphic Novel อีกหลายซีรีส์ไปโลดแล่นตีพิมพ์ในหลายประเทศทั่วเอเชีย ทั้งไต้หวัน เวียดนาม จีน และญี่ปุ่น คว้ารางวัลนิยายภาพยอดเยี่ยมจาก Seven Book Awards และเข้าชิงรางวัลซีไรต์ในปี 2021
FIREHEAD: SOUL LIBERATE คือนิทรรศการศิลปะ โดย ทรงศีล ทิวสมบุญ ที่แผ่ขยายออกมาจากโลกจินตนาการของหัวไฟ เชื่อมโลกกับโลกที่เราอาศัยอยู่ โดยมีแก่นเพื่อปลดปล่อยจิตวิญญาณของเราให้เป็นอิสระ ผ่านงานศิลป์หลากหลายรูปแบบตามทักษะนานัปการของทรงศีล ตั้งแต่ภาพจิตรกรรมจนถึงเสียงดนตรี
LIPS พาไปชมและเปิดบทสนทนายาวกับศิลปินมากความสามารถผู้นี้ ตั้งแต่แนวคิดของการทำนิทรรศการ จนถึง Songsinthings แบรนด์ที่งอกเงยมาจากโลกจินตนาการของเขา
![](https://www.lips-mag.com/wp-content/uploads/2023/12/829A0101_Res-683x1024.jpg)
“อยากให้จิตวิญญาณของเราเป็นอิสระจากความสยดสยองทั้งหลายของ Sinking Century ศตรววรรษที่โลกเรากำลังจมลง ทั้งภาวะโลกรวน เศรษฐกิจโลก สงครามและอื่นๆ”
LIPS: คุณมีผลงานที่มีชื่อเสียงหลายซีรีส์ทั้ง Nine Lives และ Bobby Swinger ทำไมเลือกถั่วงอกและหัวไฟมาทำงานนิทรรศการ
ทรงศีล: เมื่อ 2 ปีก่อนผมจัดนิทรรศการ Nine Lives เป็นครั้งแรก ซึ่งยังไม่ใช่นิทรรศการที่เต็มตัวนัก เป็นแค่ก้าวแรกๆที่เข้ามา ส่วนถั่วงอกและหัวไฟ ด้วยความที่เขามีจำนวนเล่มที่เยอะกว่าเรื่องอื่นๆ โลกของเขาก็กว้าง ด้วยความกว้างขนาดนี้ มันตรงกับความต้องการของเราที่อยากจะจัดนิทรรศการที่ใหญ่ขึ้น เอาโลกในความคิดของเราออกมากางแผ่ให้คนได้สัมผัส ให้ก้าวเข้ามาในโลกของเรา
LIPS: ที่มาของชื่อนิทรรศการ Soul Liberate คืออะไร
ทรงศีล: Soul Liberate เป็นชื่อภาพที่เป็นธีมหลักของงาน ตอนแรกผมยังไม่รู้จะอธิบายมันด้วยคำว่าอะไร แต่เป็นความรู้สึกชัดเจน ว่าเป็นสิ่งที่ปลดปล่อยและยกระดับจิตวิญญาณของเรา
LIPS: ภาพนี้เป็นภาพที่มาจากเนื้อหาในเล่มไหน
ทรงศีล: จริงๆภาพในนิทรรศการนี้ มีแค่ภาพตรงทางเข้าฮอลล์แรกเท่านั้นที่เป็นภาพจากต้นฉบับในหนังสือ แต่ภาพวาดในห้องต่อๆมาเป็นภาพที่วาดขึ้นใหม่โดยที่เนื้อหาไม่ได้สอดคล้องกับในหนังสือทั้งหมด แต่สอดคล้องกันด้วยตัวละครมากกว่า หลายๆภาพเป็นการหยิบเอาความรู้สึกที่เป็นนามธรรมมาวาดให้เป็นรูปธรรมเพื่อสื่อสารกับผู้คนได้อย่างชัดเจนขึ้น
LIPS: ภาพ Soul Liberate ดูมีกลิ่นอายของการ Uprising ตัวภาพมีนัยยะที่เกี่ยวข้องกับประเด็นทางสังคมหรือไม่
ทรงศีล: เกี่ยวกับโลกที่เป็นไปครับ ตัวผมมีความสนใจกับโลก ว่า ณ เวลานี้โลกเป็นอย่างไรอยู่ ในกีตาร์ตัวที่เอามาโชว์มีข้อความที่เขียนว่า ‘LET OUR SOULS FREE FROM ALL THE HORRORS OF THE SINKING CENTURY’ ผมอยากสื่อผ่านภาพนี้และงานหลายๆชิ้นว่า อยากให้จิตวิญญาณของเราเป็นอิสระจากความสยดสยองทั้งหลายของ Sinking Century ด้านหนึ่งเราปฎิเสธไม่ได้ว่า มันคือศตรววรรษที่โลกเรากำลังจมลงในหลายๆมุม ทั้งภาวะโลกรวน เศรษฐกิจโลก สงครามและอื่นๆ
ความที่เราไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจสังคมการเมืองได้มากขนาดนั้น สิ่งที่ดีที่สุดที่ศิลปินจะทำได้คือให้ความสุขกับผู้คน และการให้ความสุขกับผู้คนนั้นน่าจะช่วยปลดปล่อยจิตวิญญาณเขา ทำให้เขาเป็นอิสระทางความคิดได้ในบางแง่ อย่างน้อยชั่วโมงที่เขาเข้ามาเดินในงาน ผมอยากให้เขารู้สึกเป็นอิสระจากสิ่งต่างๆที่ปั่นป่วนอยู่ในโลกปัจจุบัน
![](https://www.lips-mag.com/wp-content/uploads/2023/12/829A0244_Res-683x1024.jpg)
LIPS: งานนิทรรศการมีการแบ่งเป็นห้องๆ แต่ละห้องมีธีมอย่างไรบ้าง
ทรงศีล: ทางเข้าที่มีสีเข้มออกเป็นสีเทาเกือบดำ ตรงนั้นเป็นโถงที่มีภาพ Drawing ที่เป็นภาพต้นฉบับจำนวนมากจากหนังสือ ถ้าใครอ่านหนังสือมาก็จะเห็นหลายๆภาพที่รู้จัก รวมทั้งเห็นต้นฉบับที่ผมวาดด้วยมือลงบนกระดาษ
![](https://www.lips-mag.com/wp-content/uploads/2023/12/393207232_18402866593039090_7540434820658743567_n_Res-1024x1024.jpg)
“สีแดงนี้เป็นการปลุกระดมทางจิตวิญญาณ ให้เรารู้สึกถึงอะไรหลายๆอย่างที่เราอาจจะลืมไปแล้ว”
ห้องถัดไปเป็นห้องสีแดง ห้องนี้เป็นเหมือนหัวใจที่เต้นด้วยความเร่าร้อน ช่วงแรกที่ผมทำงานจิตรกรรม มีสิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกอยู่ตลอดคือ สีแดง และชัดเจนขึ้นเมื่อวาดภาพ Soul Liberate เรื่องราวของภาพนี้ คือ หัวไฟถือพุ แล้วเดินขึ้นไปบนเนินแห่งหนึ่งในตอนเช้ามืดที่ทุกอย่างยังอึมครึม แล้วเขาก็จุดแสงสว่างขึ้นมา เหมือนกับว่าเขาเป็นคนจุดวันใหม่ขึ้นมาด้วยตัวเอง ความรู้สึกนี้แหละที่ทำให้ผมคลี่คลายกับสีแดงว่า สีแดงนี้แหละควรจะเป็นพลังงานเริ่มต้นที่จะนำพาทุกอย่างไป เรียกได้ว่าเป็นการปลุกระดมทางจิตวิญญาณให้เรารู้สึกถึงอะไรหลายๆอย่างที่เราอาจจะลืมไปแล้ว ความรู้สึกนั้นแหละที่สร้างเป็นห้องสีแดงนี้ขึ้นมา
LIPS: แต่ไม่ได้มีแต่ความเร่าร้อนไปทุกห้อง
ทรงศีล: ถัดไปห้องสีน้ำเงิน ช่วงปีกว่าๆที่ผมทำโชว์นี้ เป็นปีที่ผมไม่ทำอย่างอื่นเลย ไม่รับงาน ไม่เขียนหนังสือ เพราะอยากจะรู้ว่า พลังงานของการทำสิ่งๆสิ่งเดียวอย่างยาวนานต่อเนื่องเป็นอย่างไร ซึ่งช่วงกลางทางของการทำโชว์นี้มีความลึกซึ้งมากขึ้น จากความร้อนในตอนแรกที่เป็นสีแดง ผมค้นพบว่ามันมีพลังงานอีกแบบหนึ่งอยู่ในตัวเรา มันพูดถึงด้านที่เปราะบาง ด้านที่มีความอ่อนไหว จนไปถึงการเยียวยาบาดแผล
![](https://www.lips-mag.com/wp-content/uploads/2023/12/405960823_18026178505754091_915198886455430619_n_Res-1024x1024.jpg)
“ในช่วงเวลาของความเปราะบางเราจะได้รู้จักรอยแตกร้าวของตนเอง”
คล้ายกับว่าในห้องสีแดงเราออกไปปลุกระดมทางจิตวิญญาณ ต่อสู้กับโลกในรูปแบบต่างๆ เราได้บาดแผลมา ห้องสีน้ำเงินนี้คือการเยียวยา เช่น มีภาพหนึ่งที่เป็นภาพของถั่วงอกมีร่างกายเป็นแก้ว ตามร่างกายมีรอยแตกเป็นจุดแตกร้าวตามส่วนต่างๆของร่างกาย ด้านข้างมีข้อความว่า ‘IN FRAGILITY WE KNOW OUR CRACKS’ ในช่วงเวลาของความเปราะบางเราจะได้รู้จักรอยแตกร้าวของตนเอง
เวลาพูดเรื่องความเศร้า ผมไม่อยากชวนให้ทุกคนมาเศร้าด้วยกันอย่างเดียว มันไม่ใช่ความรู้สึกที่แท้ ใช่…เราเคยรู้สึกเศร้าแบบนั้นเหมือนกัน แต่ในความทึมเทานั้น ในช่วงเวลาสีน้ำเงินนั้น ผมคิดว่ามันมีสิ่งที่ดีมากๆบางอย่างเกิดขึ้นด้วย หลายๆครั้งความเจ็บปวดเป็นกระบวนการหนึ่งของการเติบโต ถ้าชีวิตเรามีแต่ความบันเทิงอย่างเดียว ก็จะไม่เข้าใจคนที่อยู่ในภาวะอื่นๆ ความเข้าใจกันและกันตรงนั้นกลายเป็นแสงสว่างได้
LIPS: ห้องสุดท้ายเป็นบทสรุปที่สดใส
ทรงศีล: ห้องต่อไปจะนุ่มนวลครับ เป็นสีครีม จริงๆแล้วตอนแรกผมเคยคิดชื่อห้องนี้เอาไว้คร่าวๆ แต่ไม่ได้ใส่ไว้ในงานว่า US AGAINST THE WORLD หมายถึงว่า เราเผชิญโลกมาด้วยกัน โลกก็เป็นอย่างนั้นแหละ เราคงไปเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งหมดไม่ได้ แต่ว่าเรายังอยู่ตรงนี้ด้วยกัน ยังมีอะไรที่เรามองหาแง่มุมที่ดีไปด้วยกันได้ เป็นห้องสุดท้ายที่มีสีสันมากขึ้น มีแฟนหนังสือให้คำจำกัดความว่าเป็น สี Candy Neon เป็นงานที่สนุกขึ้น มีสีสันขึ้น
![](https://www.lips-mag.com/wp-content/uploads/2023/12/357745172_809707830539000_4535464898696782627_n-Res-762x1024.jpg)
“ไม่ว่าเราจะใช้ชีวิตมาอย่างไร เราต่างไร้เดียงสากับความตาย”
ภาพในห้องนี้พูดถึงเรื่องหนักๆด้วยอารมณ์ที่สนุกสนาน เช่น ภาพ NO MATTER HOW WE LIVE, WE ALL NAIVE TO DEATH ไม่ว่าเราจะใช้ชีวิตมาอย่างไร เราต่างไร้เดียงสากับความตาย ภาพนี้อาจเป็นภาพที่ผมชอบมากที่สุดชิ้นหนึ่ง เป็นภาพที่มีสีเยอะที่สุดในงานแล้ว มันยั่วล้อความตายด้วยสีสันที่สนุกสนาน ไม่ว่าเราใช้ชีวิตมาแบบไหน จะยิ่งใหญ่เล็กจ้อยยังไงก็ตาม ในนาทีที่เราเผชิญหน้ากับความตาย เราก็ไร้เดียงสาเท่ากันหมด
![](https://www.lips-mag.com/wp-content/uploads/2023/12/829A0335_Res-1024x683.jpg)
“ในหนังสือเป็นเรื่องราวเหนือจริงเป็นคาแรกเตอร์ที่อาจจะไม่ใช่มนุษย์ด้วยซ้ำ แต่มันสะท้อนความจริงของโลกช่วงเวลาต่างๆ ”
LIPS: ตั้งแต่เล่มแรกจนถึงปัจจุบัน 18 ปี มองว่าหัวงอกและหัวไฟเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง
ทรงศีล: ตอนเริ่มเขียนถั่วงอกและหัวไฟแรกๆ มันเต็มด้วยความสดที่เหมือนอัลบั้มแรกของวงดนตรีหน้าใหม่ ทำไปอย่างที่ใจคิด ทำโดยเอาข้างในออกมา กางแผ่แบบไม่ใช้การคิดคำนวณตรึกตรองอะไรเลย เหมือนเดินออกไปเล่นดนตรีโครมๆ ให้โลกฟัง จริงๆแล้ว หัวไฟเล่มหนึ่งคือหนังสือที่ประตูเชื่อมกับโลกภายนอกที่ปิดอยู่ ไม่มีความเห็นอะไรจากโลกภายนอกตอนที่เขียนเลย เพราะตอนนั้นยังไม่มีผู้อ่านติดตาม มันจึงดิบและจริงมาก
หลังจากเล่ม 1 ประสบความสำเร็จมาก เวลาผ่านไปเร็วเป็น 10 ปี เขียนไปเล่มต่อเล่ม ช่วงเวลาเหล่านั้น ชีวิตก็ดำเนินไปด้วยมีเหตุการณ์มากมาย มีวันที่สูญเสีย มีวันที่น่าประทับใจ วันที่ผมแต่งงาน วันที่ชีวิตเปลี่ยนไปทั้งขึ้นและลงอยู่ด้วย สิ่งเหล่านั้นก็ไหลเข้าไปในหนังสือ แม้ว่าในหนังสือจะเป็นเรื่องราวเหนือจริงเป็นคาแรกเตอร์ที่อาจจะไม่ใช่มนุษย์ด้วยซ้ำ แต่มันสะท้อนความจริงของโลกช่วงเวลาต่างๆ สิ่งนี้ผมมักจะบันทึกไว้ในหน้าเกือบสุดท้ายของหนังสือทุกเล่ม เป็นเหมือน Easter Egg ให้คนอ่าน
![](https://www.lips-mag.com/wp-content/uploads/2023/12/1_Res-1024x1024.jpg)
LIPS: ทำงานมาหลากหลาย ทั้งวาด/เขียน/ออกแบบ/งานดนตรี มองว่าการจัดนิทรรศการมีความแตกต่างจากงานอื่นๆที่ทำมาอย่างไร ได้รับประสบการณ์อะไรเป็นพิเศษบ้าง
ทรงศีล: ในการจัดนิทรรศการครั้งนี้มีการทำงานเป็นทีมมาก ผมได้รับการช่วยเหลือเยอะมาก ประสบการณ์ที่รู้สึกพิเศษคือ ผมรู้สึกถึงการเริ่มต้น พอทำสิ่งนี้แล้ว ไม่แน่ว่าสิ่งที่ทำมาทั้งหมดก่อนหน้านี้ 20 ปี มันอาจเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป ซึ่งไม่แน่ชัดเหมือนกันว่าคืออะไร
หลังจากนี้น่าจะมีหลายๆอย่างที่เปลี่ยนไป ในแบบที่ผมเองก็คงจะต้องตั้งรับโดยไม่ได้คาดไว้เหมือนกัน หลายๆคนที่มาดูงานก็บอกว่า ไม่คิดว่าจะใช้สีสดขนาดนี้ หลายคนคาดหวังว่ามันจะเป็นขาว-ดำ เพราะเขียนขาว-ดำมาตลอด ตรงนั้นก็เป็นสิ่งที่เพิ่งค้นพบว่า เราก็มีหลายอย่างในตัวนะที่เราทำแบบนี้ได้ด้วย และเราก็ชอบมัน
![](https://www.lips-mag.com/wp-content/uploads/2023/12/829A9847_Res-1024x683.jpg)
LIPS: ถั่วงอกและหัวไฟถูกวาดเป็นขาวดำในเล่มแรก มีการกำหนดสีในคาแรกเตอร์มาตั้งแต่แรกเลยหรือไม่
ทรงศีล: นอกจากสุภาพสตรีชุดดำที่ใช้สีดำแน่ๆแล้ว สีของถั่วงอกและหัวไฟและตัวละครตัวอื่นๆ เป็นสีเหมือนกับที่เราเห็นในความฝัน ไม่มีสีที่ตายตัว มีแค่โทนคร่าวๆที่อยู่ในใจ ผมรู้ว่าเส้นผมของหัวไฟต้องเป็นสีร้อน บางครั้งออกเป็นสีส้ม บางครั้งออกเป็นสีแดง เหมือนเวลาที่เราจำอะไรได้ในความฝัน เราจะจำได้ในระดับหนึ่ง บอกไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ อาจมีภาพที่คลุมเครือ ทำให้เวลาผมวาดภาพที่เป็นสี ถ้าเราสังเกตดีๆ จะไม่ใช่สีเบอร์เดียวกันตลอดทุกภาพ บางครั้งก็เปลี่ยนไปตามบรรยากาศ ความรู้สึก ความหมายของภาพ แต่โดยรวมๆ เราจะยังรู้สึกถึงตัวละครได้
![](https://www.lips-mag.com/wp-content/uploads/2023/12/405965874_683307820444561_3411246621546262581_Res-1024x683.jpg)
“เหตุผลที่งานจิตรกรรมอยู่คู่กับมนุษย์มายาวนานขนาดนี้ เพราะมันมีบางอย่างที่สื่อสารกับจิตใต้สำนึกของเรา”
LIPS: มองว่านิทรรศการจะให้ประสบการณ์ที่แตกต่างกันอย่างไร ระหว่างผู้เข้าชมที่ไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อนกับแฟนหนังสือ
ทรงศีล: คนที่อ่านมาก่อน เวลามาดูภาพต้นฉบับในห้องแรกจะมีสตอรี มีวันเวลาของตัวเขาอยู่ในนั้นด้วย บางคนมาดูแล้วก็เล่าให้ฟังว่า รูปนี้ตอนที่เขาอ่าน เขากำลังมีลูก เขาก็ตั้งชื่อลูกตามตัวละครตัวนี้ เป็นช่วงเวลาพิเศษของเขา มีความทรงจำที่เขามีให้กับภาพต่างๆ
สำหรบคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ผมว่ามันน่าสนใจมาก จากที่ผู้อ่านคนอื่นต้องรออ่านหนังสือกันปีละเล่ม บางครั้ง 2 ปีเล่ม เป็นสิบกว่าปี นี่คุณจะได้อ่านทั้งหมด 10 เล่มรวดเดียว ซึ่งเป็นประสบกาณ์ที่แม้แต่คนเขียนอย่างผมก็ไม่มีโอกาส ผมอยากรู้เหมือนกันว่าความรู้สึกนั้นจะเป็นอย่างไร และการดูงานจิตรกรรมในนิทรรศการก็น่าจะมีความสดของการชมในแบบที่ว่า ไม่รู้จักเลยว่าตัวละครบุคลิกเป็นอย่างไร ก็จะได้เกิดความรู้สึกกับงานแต่ละชิ้นโดยที่ไม่ถูกชี้นำอะไรมาก่อน
LIPS: การวาดภาพประกอบที่ผ่านมาอาจไม่ต้องทำงานที่มีขนาดใหญ่ เมื่อได้มาวาดภาพขนาดใหญ่บน Canvas แล้วรู้สึกอย่างไร
ทรงศีล: ผมยิ่งรู้สึกชื่นชมงานจิตรกรรมมากกว่าเดิม มันไม่ใช่แค่ภาพวาด ไม่ใช่แค่ Currency ไม่ใช่แค่ทรัพย์สินที่จะส่งต่ออะไรแบบนั้นเลย ภาพๆหนึ่งที่คนคนหนึ่งใช้เวลากับมันนานๆ เพื่อที่จะบันทึกความรู้สึกลงไป มันมีบางอย่างเกิดขึ้นจริงๆ ทุกภาพที่เราทำมันด้วยความซื่อตรงต่อความรู้สึกจริงๆ มันพูดคุยกับผู้คนได้จริงๆ มันคือเหตุผลที่งานจิตรกรรมอยู่คู่กับมนุษย์มายาวนานขนาดนี้ มันมีบางอย่างที่สื่อสารกับจิตใต้สำนึกของเรา
LIPS: ช่วยเล่าถึงการทำงานในพาร์ตดนตรีที่มาประกอบในงานนิทรรศการหน่อย
ทรงศีล: ดนตรีในนิทรรศการนี้มี 2 ส่วน ส่วนแรกคือเสียงที่ผมออกแบบสำหรับการเดินชมงานนิทรรศการ เป็นดนตรีที่เราทำให้สอดคล้องกับงานจิตกรรมที่แสดงอยู่โดยรวม และไม่ให้น้ำหนักของเสียงรบกวนการชมงาน ตรงนี้ผมเรียกมันว่าเป็นซาวนด์แทร็กของงาน เหมือนภาพยนตร์ที่มีดนตรีประกอบเสริมบรรยากาศ ไม่มีคำร้อง เป็นเสียงดนตรีอย่างเดียว
อีกส่วนหนึ่งเป็นเพลงที่มีเนื้อร้องและดนตรีใส่เต็มที่ บางเพลงก็มีความหนัก บางเพลงมีความทดลองบ้าง ซึ่งจะเข้มข้นกว่าดนตรีที่ใส่เป็นซาวนด์แทร็ก เราเอามาบันทึกไว้ในแผ่นเสียง ชื่ออัลบั้มชื่อเดียวกับงาน หน้าปกแผ่นเสียงคือรูปที่เป็นธีมหลักของงานด้วย
![](https://www.lips-mag.com/wp-content/uploads/2023/12/829A9836_Res-1024x683.jpg)
LIPS: ตัวงานชิ้นที่เป็นกีตาร์/เบส เป็นการผสมกันของเครื่องดนตรีสองชนิด สะท้อนการทำงานในสื่อผสมผสานหลายประเภท
ทรงศีล: ความที่เรามีความชอบหลากหลายปนเปกันอยู่ ทำให้น่าจะถ่ายทอดลงไปในงานโดยธรรมชาติครับ ตอนแรกทำกีตาร์เพราะเป็นเครื่องดนตรีที่ผมเล่นเยอะที่สุด สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือ ผมสนใจเสียงเบสมาก ทั้งที่ก่อนหน้านี้อาจไม่ได้โฟกัสกับมันเท่าไร ตอนนี้เราสนใจสิ่งที่เป็นโครงสร้างของสิ่งต่างๆมากขึ้น
เราสนใจการออกแบบเสียงที่ลึกซึ่งขึ้น ในแง่ที่ว่าไม่ใช่ได้ยินแค่เสียงกีตาร์ เบส กลองแล้ว แต่เราเอาด้านหลังของดนตรีออกมาโชว์ข้างหน้า บางเพลงเบสลอยอยู่ข้างหน้าเป็นเครื่องดนตรีหลักแทนที่จะแค่คุมจังหวะ ตรงนี้มันสะท้อนไปถึงการออกแบบงานศิลปะด้วย เราอยากเอาสิ่งที่อยู่ข้างหลังออกมา อย่างในงานมีรูปภาพที่ชื่อ FREE AS THE BIRD เป็นภาพที่หัวไฟกระโดดตีลังกา แต่มีสีดิบๆ ปาดลงไปเป็นก้อนในภาพวาดที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ปาดตามที่เราคิดว่ามันเหมาะสมที่สุด มันเหมือนเป็นการดึงโครงสร้างของงานจิตรกรรมออกมาไว้ข้างหน้า ถ้าเป็นสถาปัตยกรรมก็อาจจะเป็นตึกโมเดิร์นที่เอาโครงสร้างออกมาโชว์ภายนอกอะไรแบบนั้น สิ่งที่เป็นแบ็กกราวนด์เป็นโครงสร้าง เรารู้สึกว่ามันมีความงาม มีความน่าสนใจมากพอที่จะให้เขาอยู่ข้างหน้าได้
![](https://www.lips-mag.com/wp-content/uploads/2023/12/829A9896_Res-1024x683.jpg)
“บางอย่างในโลกนี้มีเงินเหลือเฟือก็ยังซื้อไม่ได้ เงินอาจซื้อองค์ประกอบต่างๆของมันได้ แต่ตัวมันจริงๆ ต้องเกิดจากการลงมือทำ”
LIPS: Songsinthings ที่เป็นแบรนด์ Merchandise ของคุณทรงศีล และคาแรกเตอร์หัวไฟ มีกลิ่นอายของ Street Culture มากๆ มองว่า Songsinthings เป็นแบรนด์สตรีทหรือไม่ คิดอย่างไรกับการทำงานศิลปะและการทำแบรนด์ ควรมีเส้นแบ่งหรือไม่จำเป็น
ทรงศีล: ผมไม่รู้เลยว่าคำว่า แบรนด์สตรีท เข้ามาอยู่ในการรับรู้ของเราตั้งแต่เมื่อไร เท่าที่ผมจำได้ ในคนรุ่นเรายังไม่มี หลายๆคำจำกัดความบนโลกนี้ เราไม่รู้เลยว่ามันเริ่มจำกัดความความคิดของเราตั้งแต่เมื่อไร รู้อีกทีมันก็เข้ามาอยู่ในความคิดของเราแล้ว
การทำแบรนด์ Songsinthings ผมไม่ได้คิดว่ามันเป็นคำจำกัดความแบบไหน แต่ว่าทั้งหมดนั้นมันง่ายกว่านั้นมาก เราทำจากความชอบจริงๆ ความสนใจจริงๆ โปรดักต์ในแบรนด์ Songsinthings เกิดจากความที่ว่า ผมอยากได้อะไรสักอย่างที่ผมหาซื้อมันแบบตรงใจไม่ได้ อย่างในงานนี้จะมีแจ็กเก็ตที่เป็นธีมหลักของงาน 3 แบบ ซึ่งผมไม่สามารถหาซื้อแบบที่ต้องการได้ บางอย่างในโลกนี้มีเงินเหลือเฟือก็ยังซื้อไม่ได้ เงินอาจซื้อองค์ประกอบต่างๆของมันได้ แต่ตัวมันจริงๆ ต้องเกิดจากการลงมือทำ
แจ็กเก็ตซักตัวที่ผมต้องการต้องมีความคิดความเชื่ออยู่ในนั้น มันไม่ใช่แค่การเอามาสวมทับ มันควรมีสิ่งที่เราเชื่อมั่นมากพอที่จะสวมมันไว้บนตัว แล้วให้คนอื่นมองมาที่ตัวเรา เห็นมันเป็นเนื้อเดียวกับร่างกายเรา มันต้องดีพอมากกว่าการที่เราเอาชื่อแบรนด์อะไรก็ไม่รู้มาสวมโดยไม่มีเหตุผล เรารู้สึกว่าเราต้องการของแบบนั้น และมันก็ต้องสวยงามด้วย
LIPS: หรือจริงๆแบรนด์สตรีทก็เป็นสิ่งที่เด็กสตรีททำขึ้นมา เพราะฉันอยากใส่แบบนี้เหมือนกัน
ทรงศีล: อาจจะคล้ายๆกัน การเกิดขึ้นของหลายๆ สิ่งก็เป็นแบบนั้น ดนตรีพังก์ไม่ได้คิดคำว่าพังก์ขึ้นมาก่อนแล้วค่อยจับคอร์ดเล่นหรอก มันมีความรู้สึกอะไรต่อโลกนี้ แล้วมันก็เอาไปทำบางอย่าง จนในที่สุดโลกก็ต้องไปหาคำจำกัดความให้กับมัน
![](https://www.lips-mag.com/wp-content/uploads/2023/12/405926719_683307700444573_5030344435008225863_n_Res-681x1024.jpg)
“อุปกรณ์ที่เรียบง่ายกับจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง ถ้าใช้มันให้ดีจริงๆ ผมว่ามันเปลี่ยนโลกได้”
LIPS: ทำไมเลือกสเกตบอร์ดที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์สตรีทมาเป็นองค์ประกอบหนึ่งของงาน
ทรงศีล: ผมมีความหลังเกี่ยวกับสเกตบอร์ดอยู่ ตอนที่ผมเรียนศิลปะ มีการติวศิลปะให้กับคนที่อยากสอบเข้า ระหว่างพัก ทุกคนจะไปรุมกินคางกุ้งย่างกับเล่นสเกตบอร์ดที่ใครซักคนเอามา วันนั้นเป็นวันที่ผมได้ลองเล่นสเกตบอร์ดเป็นครั้งแรก แล้วผมก็พบว่า ผมไม่มีวันเล่นได้ (หัวเราะ) สิ่งที่ได้คือคางกุ้งย่างอร่อยมาก (หัวเราะ) ผมเป็นคนทรงตัวแย่มากในการเล่นกีฬาทุกประเภท ไม่ว่าผมจะชอบมันขนาดไหน แต่ว่าผมก็จะได้แค่เป็นผู้ชม หรือไม่ก็แค่ออกแบบสเกตบอร์ด
ในขณะเดียวกัน สเกตบอร์ดสอดคล้องกับหัวไฟมาก ในแง่ของความท้าทายต่อโลกด้วยวัสดุหรือพลังชีวิตในแบบที่เรียบง่าย ในจุดเริ่มต้นของมันสเกตบอร์ดไม่ใช่กีฬาเอ็กซ์ตรีมที่ราคาสูงอะไร ต่อให้เรามีแผ่นไม้ที่ไม่ได้ดีขนาดนั้น แค่เอามาติดล้อให้คนที่เล่นเก่งจริงๆ ก็สามารถเล่นได้ ความรู้สึกนี้มันทำให้ผมสนใจพวกกีฬาเอ็กซ์ตรีม ถึงแม้ผมจะเล่นไม่ได้ แต่ก็รู้สึกประทับใจมากๆที่มีคนทำแบบนั้นได้
ผมประทับใจการท้าทายขีดจำกัดของตัวเอง ใช้อุปกรณ์ที่เรียบง่ายอย่างสเกตบอร์ดสร้างวัฒนธรรม สร้างคัลเจอร์อะไรได้มากมาย แค่มนุษย์หนึ่งคนยืนบนแผ่นไม้ติดล้อ เขาเรียกคนให้มาอยู่ในวัฒนธรรมเดียวกันได้เป็นล้านๆ คน สร้างแบรนด์เสื้อผ้าขึ้นมา สร้างสังคมขึ้นมา สิ่งนี้มันเป็น Soul Liberate เหมือนกัน ไม่ว่าเราจะทำด้วยอะไร บางคนอาจจะสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาด้วยกระดาษกับดินสอ สร้างคัลเจอร์ขึ้นมาจากการวาดภาพ
“อุปกรณ์ที่เรียบง่ายกับจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง ถ้าใช้มันให้ดีจริงๆ ผมว่ามันเปลี่ยนโลกได้”
![](https://www.lips-mag.com/wp-content/uploads/2023/12/829A9987_Res-1024x683.jpg)
เสพงานสร้างสรรค์จากอุปกรณ์ที่เรียบง่าย และจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งและเป็นอิสระ ได้ที่งานนิทรรศการ FIREHEAD: SOUL LIBERATE โดยทรงศีล ทิวสมบุญ ได้ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 7 มกราคม 2024 ณ River City Bangkok RCB Galleria 2 ชั้น 2 ตั้งแต่เวลา 10:00 – 20:00 น.
Words: Roongtawan Kaweesilp
Photos: Somkiat Kangsdalwirun