Search
Close this search box.
Search
Close this search box.
HOME / Tech / Auto

หนึ่งวันกับ ‘Maserati Ghibli Hybrid’ ไฮบริดรุ่นแรกของมาเซราติ รถสปอร์ตแรงที่ขับง่าย ดีไซน์ Quiet Luxury ที่แท้ทรู

Auto / Tech

‘Ghibli’ (กิบลี่) หมายถึงลมร้อนที่พัดในทะเลทราย (หาใช่ชื่อค่ายอนิเมชันของญี่ปุ่น) และเราก็ได้สัมผัสลมทะเลทรายนี้ผ่านความแล่นฉิว โฉบเฉี่ยว แต่ไม่ฉูดฉาดของ ‘Maserati Ghibli Hybrid’ 

รถคันแรกของ Maserati ออกสัมผัสพื้นถนนในปี 1914 ด้วยเอกลักษณ์กระจังหน้าแนวตั้ง ซึ่งเป็นสิ่งแรกที่เห็นและสร้างความแตกต่างให้กับ Maserati Ghibli Hybrid ที่มาจอดรอเราด้านหน้าโชว์รูมมาเซราติที่ A Square 

Photo: Maserati

ระบบ Mild Hybrid ของ Maserati

พูดถึงระบบ Mild Hybrid ของมาเซราติเล็กน้อย ระบบนี้ช่วยให้รถปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่ารุ่นอื่นๆ (อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย: 8.5-9.6 ลิตร/100 กม. ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เฉลี่ย: 192-216 กรัม/กม. ประหยัดน้ำมันกว่ารุ่นปกติ 30%) และแตกต่างไปจากระบบไฮบริดทั่วไป ซึ่งเป็นการประสานการทำงานของเพลาขับของเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อน โดยอาจทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทำงานควบคู่กันก็ได้

แต่ระบบ Mild Hybrid ของมาเซราติแตกต่างออกไปจากเลย เพราะเป็นการผสมผสานกันระหว่างลักชัวรี สปอร์ต และสไตล์ จึงไม่ได้ทำรถที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆ แต่ยังคงใช้เพลาในการขับเคลื่อนอยู่ ดังนั้นจึงเปลี่ยนไปใช้ e-Booster ช่วยอัดอากาศเข้าไปในตัวเครื่องยนต์ เพื่อบูสต์เทอร์โบให้มีพลัง 

ตัวอี-บูสเตอร์นี้จะใช้ไฟฟ้าในการปั่นเทอร์โบให้ทำงานได้เร็วขึ้น และแรงขึ้น รถรุ่นนี้จึงใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นแค่ตัวบูสต์เครื่อง ดังนั้นระบบการทำงานของรถก็พลอยเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน ขณะเดียวก็คงเอกลักษณ์ของเครื่องยนต์สันดาปแบบรถสปอร์ตที่ให้เสียงคำรามดุดัน เมื่อเราแตะเบรก แบตเตอรี 48 โวลต์จะปั่นไฟไปเก็บไว้ในแบตเตอรีตามหลักการของรถไฮบริด 

ความแตกต่างระหว่าง Ghibli กับ Ghibli Hybrid

แล้วเมื่อมีคำสร้อย ‘Hybrid’ จะทำให้รถรุ่นนี้แตกต่างจากกิบลี่รุ่นปกติอย่างไร สิ่งที่แสดงถึงความเป็นรุ่นไฮบริดก็คือ การนำสีน้ำเงินมาใช้ เพื่อสื่อถึงเทคโนโลยีไฮบริดและโลกแห่งอนาคต สีน้ำเงินถูกนำมาตกแต่งช่องระบายอากาศด้านข้าง 3 ช่อง สัญลักษณ์สายฟ้าของโลโก้ตรีศูลบริเวณเสาซี (ตรงด้านนอกเหนือประตูรถเบาะหลัง) และเบาะในห้องโดยสารที่เย็บด้วยตะเข็บสีน้ำเงิน

พูดถึงเครื่องยนต์ก็มาดูสเป๊กกันสักนิด รุ่นนี้ใช้เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 2.0 ลิตร เข้ากับอัลเทอร์เนเตอร์ 48 โวลต์ และอิเล็กทรอนิกส์ซูเปอร์ชาร์จ (e-Booster) พร้อมแบตเตอรีรองรับ มีกำลังสูงถึง 330 แรงม้า (hp) แรงบิด 450 นิวตัน-เมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 5.7 วินาที นับว่าเร็วมากๆ ทำความเร็วสูงสุดได้ 255 กม./ชม. และก็เป็นเครื่องยนต์ไฮบริดรุ่นแรกในประวัติศาสตร์ของมาเซราติตั้งแต่ออกรถคันแรกในปี 1914 เลยทีเดียว 

Photo: Maserati

ส่วนกระจังหน้าที่เป็นเอกลักษณ์ของมาเซราติ รุ่นนี้เป็นดีไซน์ใหม่แบบ ‘ส้อมเสียง’ (Tuning Fork) เครื่องดนตรีชนิดหนึ่งที่มีเสียงใสชัด 

Photo: Maserati

มือจับเปิดประตูรถเป็นลายโครเมียม เปิดมากระจกเป็นแบบไร้กรอบ framless 2 ชั้นเป็นแบบ acoustic glass กันเสียงรบกวนภายนอก และกระจกยังหลุบลงอัตโนมัติเมื่อเปิด-ปิดประตู เพื่อป้องกันไม่ให้กระจกสั่นสะเทือนเมื่อเจอแรงกระแทก ช่วยถนอมกระจกไปอีก และไม่ต้องปิดแรง เพราะมีระบบดูด หรือ soft close ให้ประตูปิดสนิทเอง ออมแรงคนใช้รถทุกทางจริงๆ 

ไฟหน้าแบบ Adaptive Full-LED Matrix Headlights ที่มี Adaptive High Beam Technology ปรับไฟสูงต่ำอัตโนมัติ เช่น เมื่อรถวิ่งสวนกับรถเลนตรงข้าม ก็จะปรับไฟต่ำเองอัตโนมัติ ไม่ให้ไฟไปส่องแยงคนขับรถเลนตรงข้าม เป็นเทคโนโลยีขั้นสูงที่สุดของไฟหน้ารถในปัจจุบัน ซึ่งมาเซราติเป็นแบรนด์รถแรกที่ใช้ไฟ LED มาใช้กับไฟหน้าและไฟท้าย  

ไฟท้ายเป็นดีไซน์ใหม่แนวเส้นที่ให้ความรู้สึกพุ่งทะยาน มีไดนามิก ท้ายรถเรียบง่าย มีเพียงชื่อ Maserati แบบตัวเขียนที่สุดแสนจะคลาสสิกใช้มาตั้งแต่ก่อตั้งแบรนด์ ไม่มีบอกชื่อ Mild Hybrid เพราะทั้งหมดบอกผ่านกิมมิกสีน้ำเงินไปแล้ว 

หลังคารถแบบซันรูฟ ซึ่งพอแดดเปรี้ยง เราก็ปิดค่ะ ร้อน ท่อรถแบบคู่ดูดุดัน กระโปรงท้ายเปิดปิดแบบไฟฟ้าแบบระบบเตะเปิด คือไม่ต้องใช้มือไม้สัมผัสกันเลย หรือจะแตะปุ่มที่ฝากระโปรงก็ได้ มีกล้องมองหลังติดให้ด้วย พื้นที่จุของท้ายรถมากถึง 500 ลิตรถ้ายังไม่พับเบาะ และสามารถพับเบาะขยายไปถึงเบาะหลังได้ แต่พับไม่ได้เรียบกริบ เพราะติดคอนโซล พื้นจึงนูนเล็กน้อย   

กลุ่มรถประเภทรถไฟฟ้าจะไม่มียางอะไหล่ใส่ท้ายรถมาให้ เพื่อใช้พื้นที่สำหรับวางแบตเตอรี เป็นข้อจำกัดของรถที่ไม่ใช่การลดต้นทุนแต่อย่างใด ภายในมีแบตเตอรี 12 โวลต์ซึ่งเป็นแบตหลักของรถ และแบตเตอรีอีบูสต์ 48 โวลต์ สำหรับระบบ Mild Hybrid เพิ่มพลังของเครื่องยนต์ให้มีอัตราเร่งที่ดีขึ้น 

นอกจากนี้ยังมีชุดปะซ่อมยางที่บรรจุมาอย่างเรียบร้อย เพราะยางรถรุ่นนี้ใช้ PIRELLI รุ่น P ZERO PZ4 จะมาปะตามร้านทั่วไปไม่ได้ หรือถ้าปะเองก็ไม่ได้ก็สามารถโทรบริการช่วยเหลือรถเสียฉุกเฉิน Roadside Assistance Service (RAS) เพื่อนำไปยังจุดที่ใกล้ที่สุดเพื่อเปลี่ยนยาง

เบาะ : ส่วนที่แพงที่สุดของรถ

ลองมุดตัวเข้าไปนั่งประจำเบาะคนขับ ที่ใช้คำว่า ‘มุด’ เพราะมันเตี้ยกว่ารถทั่วไปจริงๆ อารมณ์รถสปอร์ต ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังจะไปขับฟอร์มูลาวัน แต่ก็มีปุ่มปรับเบาะแบบไฟฟ้า 8 ทิศทางที่ออกแบบให้งุ้มเข้าหาตัว เหมือนมีปีกโอบกระชับโอบรับหลังนั่งสบายมาก 

ซึ่งไฮไลต์ก็อยู่ที่เบาะ โดยเป็นเบาะหุ้มหนังนัปปา อันเป็นหนังเกรดพรีเมียมที่ทำกระเป๋าแบรนด์เนมหรู (ที่แพงที่สุดในโลกแบรนด์นั้นแหละ) เฉพาะค่าหนังหุ้มเบาะก็ราคา 6 แสนบาท! ซึ่งเป็นส่วนที่แพงที่สุดของรถรุ่นนี้ โดยเลือกสีได้ จะเป็นสีเดี่ยวหรือจับคู่สีก็ได้ตามชอบ มีหลายสีสันให้เลือกที่โชว์รูม สั่งทำแบบคัสตอมเมดเลือกได้ไปจนถึงสีด้ายเย็บเบาะเลยทีเดียว หัวหมอนของเบาะประทับโลโก้นูน Maserati สวยงาม 

คำเตือน! ก่อนขึ้นรถ ควรปลดอาวุธและของแหลมมีคมที่สามารถสร้างรอยกรีดขีดข่วนเสียก่อน เพราะมันไม่คุ้มกันแน่ๆ หากเบาะหนังพรีเมียมเกิดเป็นรอยขึ้นมา

สำรวจห้องโดยสาร

อีกจุดคือจอแสดงมาตรวัดตรงกลาง ที่อยู่หลังพวงมาลัยตำแหน่งคนขับเลย เพื่อให้มองได้สะดวกขึ้นไม่ต้องหันเฉียง พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชัน จัดเต็มทั้งปุ่ม Adaptive Cruise Control, Driver Assistance System ระบบช่วยเหลือการขับขี่ เช่น ดึงพวงมาลัยให้อยู่ในเลน มีเสียงเตือนเมื่อรถออกนอกเลน และยังมี Paddle Shift ระบบการเปลี่ยนเกียร์จากเกียร์ออโต้ให้เป็นเกียร์ธรรมดา หรือ Manual Mode ซึ่งจะควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย

สิ่งที่มาเซราติพัฒนาขึ้นมาใหม่ก็คือจอทัชสกรีนตรงกลางที่มาในขนาด 10.1 นิ้วที่มีความไวมากๆ ไม่มีเอ๋อ ค้าง หรือโหลดนาน รองรับ Apple Car Play แบบไวร์เลส ส่วนระบบนำทาง หรือ Navigator เป็นแบบสามมิติมีการพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ ซิงค์กับระบบ iOS หรือแอนดรอยด์ได้ ที่น่าทึ่งก็คือตอนแรกใช้เนวิเกเตอร์ของมาเซราติ จู่ๆรถก็ซิงค์กับแอนดรอยด์มือถือของคนขับ และโชว์ Google Map ขึ้นหน้าจอกลางได้เอง งงนิดหน่อยว่าซิงค์เองได้ไง และมีระบบนำทางยังเตือนกล้องต่างๆได้ เช่น กล้องตรวจจับฝ่าไฟแดง หรือกล้องตรวจจับความเร็ว

ถัดลงมาจากจอทัชสกรีนคือ คอนโซลระบบปรับอากาศ 2 โซนที่แยกอิสระซ้าย-ขวา ใครนั่งเบาะไหน ปรับอุณหภูมิแอร์ได้ตามชอบ

เกียร์ยังหุ้มหนังพรีเมียม! เป็นเกียร์อัตโนมัติแบบไฟฟ้า ZF 8 จังหวะที่ปรับโยกได้รอบทิศทางเหมือนจอยสติ๊ก พร้อมปุ่มต่างๆ เช่น Traction Control System  (TCS) หรือระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ที่จะช่วยรักษาแรงฉุดลากเมื่อเร่งความเร็วบนพื้นผิวที่ลื่น ถนนที่ไม่ได้ลาดยางหรือถนนเปียก หากเซ็นเซอร์ตรวจพบว่าล้อหลังเริ่มเกิดการลื่นไถล (การหมุนที่ไม่สามารถควบคุมได้), ปุ่มปรับโหมดการขับขี่แบบสปอร์ตและครูส รวมไปถึงโช้คอัพที่เลือกความแข็งของระบบช่วงล่างได้ 

ถัดมาเป็นปุ่มหมุนได้รอบทิศทางที่เรียกว่า Maserati Connect รองรับการใช้งานระบบนำทาง, Alexa และ ไวไฟ ฮอตสปอต โดยสามารถควบคุมผ่านแอปพลิเคชัน Maserati Connect บนสมาร์ตโฟนหรือสมาร์ตวอชต์ได้ และยังมีเบรกมือไฟฟ้าที่ใช้งานง่ายมากแค่กดปุ่ม 

มีช่องวางแก้ว 2 ที่ สำหรับแก้วตื้นและแก้วลึก ถ้าไม่ใช้งานก็ปิดไว้ กลายเป็นพื้นผิวเรียบๆ วางของได้ ส่วนที่วางแขนมีฟังก์ชันเสริมเป็นช่องเก็บความเย็นสำหรับแช่ไวน์หรือแชมเปญ! มีแท่นชาร์จไร้สาย พร้อมช่องเสียบ USB A และ C หรือคอนโซลคือนาฬิกา Maserati แบบอนาล็อกรูปทรงไข่ เป็นเข็มบอกเวลาในดีไซน์สุดคลาสสิก นับว่าเป็นเอกลักษณ์หรือประเพณีของรถ Maserati ที่จะมีนาฬิกาให้ตั้งแต่รถรุ่นเก่า

เบาะหลังนั่งสบาย แม้จะไม่ได้ดูกว้างขวางแบบรถผู้บริหารหรือรถครอบครัว ด้วยบุคลิกของรถที่เป็นดีไซน์ซีดานสปอร์ต แต่ก็ยังมีเฮดรูมหรือพื้นที่ว่างระหว่างเพดานรถกับศีรษะไม่ให้รู้สึกอึดอัด เพราะออกแบบให้เว้าเข้าไปในเพดานรถ เพิ่มเฮดรูมได้เหลือเฟือ เรียกว่าคนสูง 180 เซนติเมตรก็นั่งหลังได้สบาย มีที่วางแขนตรงกลางที่พับเก็บได้

เครื่องเสียง Harman Kardon พร้อมชุดลำโพง 8 ตัว มีช่องปรับแอร์ที่ห้องผู้โดยสารด้านหลังที่ดีไซน์ให้น่าปรับเล่นเหมือนเกมเตอร์ติส แต่ไม่มีช่อง USB ให้ ท้ายเบาะมีช่องเก็บของแบบตาข่ายยืดได้ 

ไล่ดูทุกส่วนมาเป็นชั่วโมงแล้ว ยังไม่ได้ออกจากโชว์รูมเลย…ก็มันมีอะไรให้ดูเต็มไปหมด ได้เวลาพาเจ้าลมทะเลทรายไปรับลมเสียที

ขับง่าย ขับสบาย จนผู้โดยสารหลับเป็นตายทั้งคัน

เราพาเจ้าลมทะเลทรายไปวิ่งฝ่าลมเย็นๆในวันแดดร่มฝนไม่ตก ออกจากใจกลางสุขุมวิทไปนอกเมือง ซึ่งต้องจำไว้ให้ดีว่าการสตาร์ทรถต้องกดปุ่มสตาร์ท แล้วกดเลื่อนไปที่ตำแหน่ง RUN และเหยียบเบรกไปพร้อมกัน เพราะรุ่นนี้ใช้แบตเตอรี e-Booster ช่วยอัดอากาศเข้าไปในตัวเครื่องยนต์ เพื่อบูสต์เทอร์โบให้มีพลัง ถ้ากด Run แล้วค่อยเหยียบเบรก รถจะไม่ทำงานนะเธอ

จากประสบการณ์ขับรถไฟฟ้า 100% ซึ่งแรกๆไม่ชินเวลาถอนเท้าออกจากคันเร่งแล้วรถชะลอความเร็วแบบวูบไปเลย แต่เจ้าลมทะเลทรายคันนี้เป็นระบบ Mild Hybrid ที่ไม่ใช่รถไฟฟ้าเต็มร้อย จึงขับง่ายเหมือนรถระบบสันดาป 

ท่ามกลางการจราจรที่เคลื่อนตัวได้ 17 กม./ชม.ในย่านสุขุมวิท เราจึงได้ลองเหยียบเบรกรัวๆไปตลอดทาง จานเบรกมาแบบมัน-ใหญ่-มาก แค่ลงน้ำหนักเท้าเบาๆที่เบรก จะค่อยๆลดความเร็ว ซึ่งรุ่นนี้เป็นระบบเบรกแบบ Linear คือการลงน้ำหนักเท้าสอดคล้องกับการชะลอความเร็ว เหยียบเบรกเท่าไร ก็ชะลอความเร็วได้เท่านั้น และด้วยความที่เบรกแตะจานเบรกได้ดีมากๆ ถ้าในกรณีที่เจอรถปาดหน้า แล้วต้องเบรกแรงๆกะทันหัน รถจะสะบัดน้อย แต่ต้องประคองพวงมาลัยให้ดีๆด้วยก็จะปลอดภัย 

พวงมาลัยไม่หนักอย่างที่คิดว่ารถยุโรปจะเป็น แถมยังเบากว่ารถยุโรปทั่วไปเสียด้วย น้ำหนักกำลังดี กระชับมือ ไม่เบาก๋องแก๋ง กระจกข้างมีระบบไล่ฝ้า ไล่ละอองน้ำ แม้รถค่อนข้างใหญ่ แต่มองเห็นทัศนวิสัยรอบคันได้สบาย เพราะมีกล้องรอบคันที่ช่วยให้มองเห็นจุดอับ Blind Spot ทั้งหลาย 

Photo: Maserati

ช่วงล่างเป็นระบบ Skyhook ที่ให้ความหนักแน่น เฟิร์ม แต่ไม่ฝืด เมื่อขับขี่ในโหมด Normal แต่จะแล่นฉิวพุ่งทะยานผิดหูผิดตา ขณะเดียวกันช่วงล่างจะหนักแน่นขึ้นเมื่อปรับเป็นโหมด Sport เรียกว่าเป็นรถที่มีบุคลิกสุขุมลุ่มลึกในทุกท่วงท่าจริงๆ ถ้าเจอเนินสูงต่ำ ทางไม่เรียบ ถนนขรุขระ หรือเข้าโค้งแบบเอวเอส ระบบ Skyhook จะช่วยปรับให้รถทรงตัวเรียบ ไม่เหวี่ยง ไม่โคลงเคลงมาก 

เราทดลองความหนึบของช่วงล่างรถด้วยการพาเจ้าลมทะเลทรายออกไปนอกเมือง คือไปต่างจังหวัดโน่นเลย พาไปเจอสะพานลอยฟ้า สะพานข้ามแยก สะพานข้ามฟาก และอีกสารพัดสะพานโค้งที่บางแห่งก็โค้งเกือบหักศอก แต่ก็สามารถเข้าโค้งได้แบบมั่นใจมากเหมือนขับทางตรงธรรมดา 

Photo: Maserati

ภาพรวมคือ ระบบของรถพยายามทำให้การขับขี่ราบลื่นที่สุดเหมือนขับทางตรงบนถนนเรียบๆอยู่ตลอดเวลา ห้องโดยสารเสียงเงียบสนิท ด้วยกระจก 2 ชั้น แม้ขับด้วยความเร็วเกิน 200 กม./ชม. จนผู้โดยสารเบาะข้างและเบาะหลังหลับเป็นหลับตายตลอดทาง แถมพอตะวันชิงพลบ ไฟหน้าและไฟท้ายระบบอัตโนมัติก็เปิดเอง ถ้าจะรู้ใจกันขนาดนี้ ก็ขาดอีกอย่างเดียวคือระบบขับขี่อัตโนมัติ

Maserati Ghibli Hybrid เหมาะกับใคร?

นี่คือคำถามที่เราถกเถียงกันไปตลอดทาง อย่างที่บอกว่ารถขับง่ายมากเสียจนตกใจ มันเรียบง่ายในยามที่คุณขับขี่ในเมืองที่มีการจราจรหนาแน่น และโฉบฉิวแรงกว่าใครเมื่ออยากจะปรับเป็นโหมดสปอร์ต 

ทำไมต้องซื้อกิบลี่? คำตอบคือ ถ้าคุณจ่ายค่าตัวของเจ้าลมทะเลทรายได้ ราคาเริ่มต้นที่ 5.99 ล้าน หากต้องการออปชันและฟังก์ชันเสริมต่างๆ ก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม เช่น สีพิเศษ เลือกสีเบาะ ฟังก์ชันการขับขี่ต่างๆ ฯลฯ 

Photo: Maserati

นอกจากนี้มันยังเหมาะสำหรับคนที่มองหาความหรูที่แตกต่าง คนที่ชอบความสปอร์ต แรง เร็ว แต่สุขุมลุ่มลึก ไม่ฉูดฉาด และอยากได้รถที่ขับง่าย ไม่ซับซ้อน นั่งขับแล้วรู้สึกมั่นใจในประสิทธิภาพของรถ และชมชอบวัสดุหรูหราในดีไซน์คลาสสิกแบบไม่ตะโกนตามสไตล์ ‘Maserati’  

ด้วยความขับง่ายสบายใจ ตอนเอา Maserati Ghibli Hybrid ไปคืน ก็มีอาลัยอาวรณ์นิดหน่อยเลยละ

Photo: Maserati

Words: Suphakdipa Poolsap
Photo: Maserati / Somkiat Kangsdalwirun 

Related Articles

เว็บไซต์ของเราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้ เราได้อธิบายความหมายและวิธีการใช้คุกกี้ของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถเข้าใจแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือการเปิดเผย รวมถึงทางเลือกในการใช้คุกกี้ของเรา อ่านเพิ่มเติม