Search
Close this search box.
Search
Close this search box.
HOME / Interview / People

จอม เจย์เกอร์ ศิลปินที่ทำเพลง T-Pop มิติใหม่ ผสมโซล อาร์แอนด์บี กับดนตรีกอสเปล

Interview / People

T-Pop ไทยทำได้! ศิลปินหนุ่มความสามารถรอบด้าน Jom Jager หรือ ‘จอม – ธนกฤต กองแก้ว’ เจ้าของสุ้มเสียงการร้องและทำนองกีตาร์นุ่มลึก

จอมพาซิงเกิล ‘พอแล้ว…พอ’ เพลงไทยป๊อปที่สร้างมิติใหม่ด้วยการผสมผสานสไตล์โซล อาร์แอนด์บี เข้ากับดนตรีกอสเปล พร้อมกันนี้เขาได้ฉายแววด้านการแสดง หลังรับหน้าที่พระเอกเอ็มวีผู้ถ่ายทอดอาการ ‘ลุ่มหลง แต่ไม่ขอล้ำเส้น’ อย่างถึงบทบาท สมเป็นทายาทนักสร้างภาพยนตร์ไทยระดับตำนาน

ดูเหมือนว่าจอมต้องการพิสูจน์ฝีมือตนเองด้วยความสามารถล้วนๆ เพราะจากข้อมูลที่เราได้รับ ตลอดจนข่าวคราวของเขาที่ปรากฏผ่านสื่อ ล้วนมีแต่เรื่องราวของผลงานดนตรี ทั้งที่ต้นทุนชื่อเสียงของครอบครัวอาจใช้เป็นใบเบิกทางในวงการบันเทิงได้

ต่อเมื่อถูกซักถามมากเข้า เจ้าตัวถึงยอมปริปากว่าตนเป็นหลานชายแท้ๆ ของ ‘ชุติมา – พรพรรณ สุวรรณรัต’ สองหัวหอกแห่ง ‘ปริทรรศน์ฟิล์ม’ ผู้ผลิตภาพยนตร์ขวัญใจมหาชนอย่างแม่อายสะอื้น แคนลำโขง ศาลาลอย รักต้องห้าม มัทรีที่รัก ฯลฯ โดย ‘คุณตาชุติมา’ ของจอมได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในผู้กำกับเงินล้านแห่งยุค 70 – 90 เลยทีเดียว

จอมใช้เวลาเกือบหนึ่งปีในการปลุกปั้นเพลง ‘พอแล้ว…พอ’ ให้สมบูรณ์แบบในฐานะผู้สร้างสรรค์เนื้อร้องและทำนอง ร่วมกับการออกแบบดนตรีสุดละเมียดโดย ‘กวิน อินทวงษ์’ โพรดิวเซอร์มือทอง ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของอะตอม – ชนกันต์ รัตนอุดม, MEYOU (มิว – ชิษณุชา ตันติเมธ) และ PATCHA (พัดชา – ชนุดม สุขสถิตย์)

MV พอแล้ว…พอ – Jom Jager

LIPS: ซิงเกิลแรกในชีวิต ‘พอแล้ว…พอ’ มาจากประสบการณ์ตรงหรือไม่ โมเมนต์นั้นเป็นอย่างไรจึงเขียนถ่ายทอดความทรงจำออกมาเป็นบทเพลง

จอม: ประสบการณ์ส่วนตัวเลยครับ แต่หลายปีแล้ว ตอนนั้นเราชอบคนๆ หนึ่ง แต่ก็กลัวจะถลำลึกมากเกินไป เลยอยากให้เขาน่ารักน้อยลงหน่อย อย่าทำให้เรารักไปมากกว่านี้ เลยเขียนออกมาเป็นเพลงเพื่อย้ำกับตัวเองว่า “พอแล้ว..เดี๋ยวเจ็บ” (ยิ้ม)

LIPS: เป็นมาอย่างไร คุณกวิน (โพรดิวเซอร์และผู้บริหารค่ายเพลง Red Clay ต้นสังกัด) ถึงได้ฟังกับเพลงนี้

จอม: จริงๆ ผมเอาให้พี่กวินฟังหลายเพลงครับ เพราะเขียนเก็บไว้เรื่อยๆ แต่เพลงนี้พี่กวินเขาชอบเป็นพิเศษ และพอเข้าที่ประชุม เพลงนี้ก็ถูกเลือกมาปล่อยก่อน

LIPS: โดยส่วนตัว คิดว่าเพลงนี้จะเป็นผลงานชิ้นแรกในชีวิตไหม ถ้าไม่ใช่ ในใจเก็งเพลงไหนมาจากบ้าน

จอม: ตอนแรกที่บินกลับมาไทย ผมคิดไว้ว่าเป็นเพลงอื่นที่มู้ดเศร้าๆ แนวเฮิร์ตกว่านี้หน่อย แต่เพลง ‘พอแล้ว…พอ’ ก็มีกลิ่นอายเศร้า แต่มันก้ำกึ่ง ไม่ถึงกับอกหัก

LIPS: ทราบไหมว่าทำไมทีมงานยกมือเลือกเพลง ‘พอแล้ว…พอ’

จอม: เขาคงรู้สึกว่าองค์ประกอบทั้งเนื้อร้อง ฟีลลิง มู้ดดนตรีมีความลงตัวพอดี เพลง ‘พอแล้ว…พอ’ มีองค์ประกอบของกลิ่นอายดนตรีกอสเปล เพราะตอนที่จอมเจอกับพี่กวินที่อเมริกา เราชอบฟังเพลงกอสเปลทั้งคู่ เลยอยากนำดนตรีแนวนี้มาผสมผสานในเมโลดีที่จอมแต่งไว้

LIPS: ขยายความเกี่ยวกับแนวเพลงหรือดนตรีกอสเปลให้เราฟังหน่อยสิ

จอม: ‘กอสเปล’ เป็นคำที่เอาไว้เรียกเพลงสรรเสริญพระเจ้าในโบสถ์ครับ โดยวัฒนธรรมที่อเมริกาซึ่งนับถือศาสนาคริสต์ เขาค่อนข้างให้ความสำคัญกับดนตรีที่ใช้ถวายพระเจ้า แล้วโบสถ์ที่ผมเล่นดนตรีอยู่เป็นโบสถ์ของคนผิวสี เลยยิ่งเล่นกันดุเดือด หมายถึงใช้เครื่องดนตรีเยอะ บางทีใช้คีย์บอร์ด 3 ตัว กีตาร์ 2 แล้วยังมีเบส เพอร์คัสชัน กลอง ฯลฯ เรียกได้ว่ามีสไตล์เฉพาะตัวสูง เมืองไทยก็มีการเล่นเพลงแนวกอสเปลในโบสถ์โปรเตสแตนต์เช่นกันครับ  

LIPS: นอกจากกอสเปล เพลงนี้มีกลิ่นอายของ Hip-Hop Dilla Bass ด้วย

จอม: มันเป็นการผสมผสานหลายๆ อย่างครับ เราคิดกันว่าอยากได้ฟีลไหนจากดนตรีอะไร เพลงนี้เลยมีแทร็กเสียงต่างๆ ซ่อนอยู่เยอะ ไม่ว่าจะเป็นไลน์กีตาร์ กลอง ออร์แกน เพอร์คัสชัน ฯลฯ แต่สุดท้ายทั้งหมดมันมีรากฐานมาจากดนตรีกอสเปลเพราะคนอเมริกันผิวสีเริ่มเล่นเพลงจากกอสเปลกัน ก่อนที่จะแตกเป็นฮิปฮอป ดิลลาเบส อาร์แอนด์บี โซล ฯลฯ ถ้าให้จำกัดความ ผมว่าเพลง ‘พอแล้ว…พอ’ อยู่ในแนวโซล อาร์แอนด์บี ช่วงยุคก่อนปี 2000 ลงไป คือค่อนข้างเรโทร (ย้อนยุค) ครับ

“Jager มาจากคำว่า Hunter หมายถึงนายพรานล่าสัตว์ในยุคหิน เพื่อดูแลครอบครัว ดูแลชีวิตตัวเอง ในยุคปัจจุบันเราเปลี่ยนเป็นการออกไปตามล่าหาความฝัน”

LIPS: ที่มาของชื่อสเตจเนม Jom Jager

จอม: Jager เป็นคำที่ค่อนข้างสวยงามและคล้องจองกับชื่อจอมดีครับ และจริงๆ Jager ก็มาจากคำว่า Hunter หมายถึงนายพรานล่าสัตว์ ถ้าย้อนไปถึงยุคหิน มนุษย์ก็ทำสิ่งนี้ในชีวิตประจำวันเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว ในยุคปัจจุบัน เราก็ยังทำแบบนั้นกันอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบเป็นการออกไปตามล่าหาความฝัน เพื่อดูแลครอบครัว ดูแลชีวิตตัวเอง และเปรียบเปรยถึงการใช้ชีวิตตามสัญชาติญาณด้วยครับ

LIPS: เมื่อครู่เล่าว่ารู้จักกับโปรดิวเซอร์มาตั้งแต่อยู่อเมริกา

จอม: ใช่ครับ รู้จักกับพี่กวินมาน่าจะเกือบ 10 ปีแล้วครับ ช่วงปีแรกๆ ที่ผมเล่นดนตรีกลางคืนอยู่ที่ร้านไทย พี่บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์ (บุรินทร์ Groove Riders) มาที่ร้าน แล้ววงที่ผมเล่นอยู่เป็นเฮาส์แบนด์อยู่ที่นั่น เลยมีโอกาสได้เจอกับพี่กวินซึ่งตอนนั้นมาเล่นแบ็กอัปให้พี่บุรินทร์ ซึ่งภาพจำของจอมคือพี่กวินเป็นนักดนตรีที่เก่งมากๆ เขามีผลงาน Instrumental Jazz ซึ่งผมชอบเข้าไปติดตามฟังในยูทูบเรื่อยๆ

พอปีถัดมา พี่กวินย้ายมาอยู่อเมริกา ถึงจะอยู่คนละเมืองแต่เราก็ได้เจอกันบ้าง ส่วนใหญ่เราคอนเน็กต์กันด้วยดนตรีเนี่ยแหละครับ ไปดูดนตรีสด ไปโบสถ์ ฯลฯ ตอนนั้นมีพี่ต๊ะ (วรเศรษฐ์ อภิญญาวัชรกุล มือกีตาร์วง Parkinson) อยู่ในก๊วนแฮงเอาต์ด้วย ผมมีโอกาสได้เล่นแบ็กอัปให้พี่นพ พรชำนิ ครั้งหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นที่ซานฟรานฯ แล้วก็มีเล่นแบ็กอัปให้พี่บุรินทร์ตอนเวิลด์ทัวร์อีก สรุปว่าได้เจอกับพี่กวินอยู่หลายรอบครับ

LIPS: แล้วจุดเริ่มต้นของการชักชวนกันทำเพลงเกิดขึ้นอย่างไร

จอม: พอพี่กวินกลับไปอยู่เมืองไทย ไปเป็นโปรดิวเซอร์ เราก็ไม่ได้ติดต่อกันนานครับ จนอยู่ดีๆ วันหนึ่งเขาโทรมา ถ้าจำไม่ผิดเหมือนกำลังหาพระเอกเอ็มวีให้พี่ PATCHA (ศิลปินเบอร์แรกของค่าย Red Clay) แต่ตอนนั้นผมยังอยู่อเมริกา จนวันหนึ่งผมย้ายมาอยู่เมืองไทยแล้ว พี่เขาเลยชวนไปชิล ไปนั่งเล่นดนตรีที่ค่าย

LIPS: ชวนไปชิลจริงๆ หรือเป็นแผนออดิชันศิลปินเข้าสังกัดไปในตัว

จอม: (หัวเราะ) น่าจะชวนไปแจมเฉยๆ ตามสไตล์พี่กวิน เพราะเขาบอกว่าวันนั้นที่เจอกันที่ค่าย เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจอมร้องเพลงได้ จริงๆ คนส่วนใหญ่ในชีวิตจอมน่าจะแทบไม่มีใครรู้ว่าเราร้องเพลงด้วย เรามีแต่ภาพของการเป็นมือกีตาร์มานานมากๆ

“คนส่วนใหญ่ในชีวิตจอมแทบไม่มีใครรู้ว่าเราร้องเพลงด้วย เรามีแต่ภาพของการเป็นมือกีตาร์มานานมากๆ”

LIPS: จุดไหนที่หงายการ์ดว่าเราคือนักร้องเสียงดีคนหนึ่ง

จอม: คือเราไปแจมกันในสตูดิโอใช่ไหมครับ ในห้องอัดก็จะมีเครื่องดนตรีหลายๆ ชิ้น เราก็หาเพลงเล่นกัน แบบร้องเพลงไปด้วย เล่นกีตาร์ไปด้วย หลังจากนั้นถึงค่อยมีการคุยกันว่าอยากทำเพลงด้วยกันนะ

LIPS: ได้ข่าวว่าได้นักดนตรียอดฝีมือมาร่วมงานใน ‘พอแล้ว…พอ’ ด้วย

จอม: ใช่ครับ พี่ไผ่ (อัครพล สุวรรณเมฆ มือเบสแบ็กอัปวง HYBS ) เก่งมาก น่าจะฟังเพลงแนวกอสเปลเหมือนกันด้วย เลยคุยกันรู้เรื่อง ส่วนพี่อาร์ม (ภูษณะ ตรีบุรุษ มือกลองแห่งวงหมอลำสุดอินเตอร์ The Paradise Bangkok Molam International Band) ยิ่งไม่ต้องห่วง เพราะมีชื่อเสียงในวงการยาวนาน เคยเป็นมือกลองให้พี่อะตอม – ชนกันต์ แล้วก็เป็นเพื่อนสนิทของพี่กวินด้วยครับ

LIPS: จากนักดนตรีที่เล่นกับวงมาโดยตลอด พอขึ้นเวทีเป็นศิลปินเดี่ยว รู้สึกอย่างไรบ้าง

จอม: เหงาอยู่นะ เหงามากๆ เลย เคยคิดว่าเราจะทำได้หรือเปล่า เพราะที่ผ่านมาผมอยู่กับวงมาตลอด เมื่อ 2-3 ปีก่อน ผมเคยจะทำดูโอกับน้องคนหนึ่ง แต่เขาเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกาต่อ ในขณะที่เรากำลังจะกลับไทย ก่อนบินกลับ ผมก็เตรียมใจมาระดับหนึ่งแล้วว่าเราต้องฉายเดี่ยว ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยชินเท่าไรครับ (ยิ้ม) แต่จริงๆ ในการทำงานเป็นศิลปินเดี่ยวก็มีคนที่อยู่เบื้องหลังเราเยอะมาก ตั้งแต่โปรดิวเซอร์ นักดนตรี ทีมงาน ฯลฯ เราเหมือนเป็นแค่ face แต่จริงๆ ทุกองค์ประกอบสำคัญหมด ไม่ใช่เราคนเดียว

LIPS: ท้ายที่สุดก็ได้เป็นพระเอกเอ็มวีจนได้ แถมเป็นเพลงตัวเองด้วย

จอม: ใช่ครับ ผมเกือบลืมไปแล้วนะว่าตัวเองอยู่ในนั้น!! (หัวเราะ) เพลง ‘พอแล้ว…พอ’ เป็นความรู้สึกของการห้ามใจตัวเองที่ตีความได้หลายสถานการณ์ อย่างในเอ็มวีก็จะเป็นฟีลลิงของคนทำงานที่หัวหน้าเราเอาแฟนเขามาฝากฝัง แต่เราดันปิ๊งเขา ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เลยต้องบอกตัวเองว่า “เอ้อ พอก่อนนะ”

LIPS: รู้สึกอย่างไรที่ได้ชิมลางการแสดงผ่านการเล่นเอ็มวี

จอม: เป็นครั้งแรกของจอมเลยที่ได้แสดง เป็นอะไรที่สนุกแล้วก็แปลกใหม่มาก ถ้าถามว่ายากเท่าที่คิดไหม จอมรู้สึกว่าไม่ยากขนาดนั้น น่าจะเป็นเพราะการถ่ายเอ็มวีไม่ได้มีบทพูดเยอะ แล้วทีมงานก็วางแผนให้เราเป็นอย่างดี ผู้กำกับมีความเป็นมืออาชีพ นางเอกเล่นเก่ง เขาเลยช่วยดึงการแสดงของเราออกมาได้

LIPS: ดูทรงแล้วอนาคตเป็นนักแสดงได้นะ

จอม: (ยิ้มอ่อน) ต้องลองดูครับ ถ้าต้องท่องบท ไม่รู้สิ ต้องลอง

LIPS: ซิงเกิลต่อไปวางแผนอย่างไรบ้าง

จอม: เพลงเดโมของซิงเกิลต่อไปเป็นรูปเป็นร่างมากแล้วครับ น่าจะปล่อยได้ช่วงต้นปี 2567 มู้ดแอนด์โทนน่าจะใกล้เคียงซิงเกิลแรก ด้วยความที่เราอยากดันเพลงแนวนี้ไปให้ถึงที่สุด แต่เพลง ‘พอแล้ว…พอ’ มีความเรโทรสูงมาก เพราะเราเอาองค์ประกอบของดนตรีกอสเปลจริงๆ มาใส่ แต่เพลงที่ 2 – 3 เราจะทำให้มันดูใหม่ขึ้น ฟังง่ายขึ้น โดยใส่ฟีลลิงของฮิปฮอปกอสเปล ในขณะที่ยังคงความเป็น Soul R&B อยู่

“หลายๆ ครั้งที่เราออกไปทำอะไรอย่างอื่น แต่พอกลับมาเห็นกีตาร์ มันก็คันไม้คันมือ อยากจับมาเล่นอยู่ตลอดเวลา”

LIPS: ขอย้อนไปถึงปฐมบทแห่งการใช้ชีวิตที่สหรัฐฯ ได้ไหม

จอม: จริงๆ แม่พาจอมไปอเมริกาตั้งแต่ยังไม่ถึงหนึ่งขวบเลยครับ แรกๆ ไปเที่ยว แต่บางทีก็ไปอยู่ จำความได้ว่าเรียนหลายที่มาก ย้ายโรงเรียนทีก็ไปอยู่แห่งละปี สลับกับอยู่เมืองไทย คือจอมมีโอกาสได้เรียนอนุบาล เรียนประถมที่อเมริกาเป็นช่วงๆ มันก็แปลกเหมือนกันนะว่าเราปรับตัวได้ยังไง (ถามตัวเองพร้อมเสียงหัวเราะ)

เหตุผลคืออะไรก็ไม่ชัวร์ เหมือนแม่เขามีไลฟ์สไตล์ที่ชอบทั้งไทยและอเมริกา แล้วพ่อกับแม่เจอกันครั้งแรกที่แอลเอ ส่วนพี่สาวจอมก็ไปเรียนต่อไฮสกูลที่อเมริกาตอนที่เรายังเด็กมาก เพราะอายุห่างกันเยอะ

แม่คงบินไปดูแลพี่สาว เลยเอาจอมไปเรียนด้วยเป็นช่วงๆ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่เคยถามแม่นะว่าทำไมเราย้ายหลายเมือง ไม่ค่อยได้อยู่ที่เดิม พอจบ ม.4 จอมถึงย้ายไปอยู่อเมริกายาวเลย ก่อนที่จะกลับเมืองไทยเมื่อไม่นานมานี้

LIPS: คิดว่าอิทธิพลที่นำเราสู่เส้นทางดนตรีเกิดขึ้นอย่างไร

จอม: จริงๆ เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ผมจับเป็น ‘ระนาดเอก’ ยังไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเลย อยู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ ตอนนั้นจอมอยู่บ้านน้าสาว ลูกสาวเขาเรียนดนตรีไทย เราเลยเรียนด้วย แล้วที่บ้านน้ามีระนาดเอกอยู่แล้ว เราก็เลยได้ฝึก ตอนนั้นเป็นช่วงที่หนัง ‘โหมโรง’ ฉายพอดี เราก็ยิ่งอินไปด้วย รู้สึกเท่จัด (หัวเราะ)

ส่วนดนตรีสากล ปกติน้าๆ เล่นกีตาร์สังสรรค์กันอยู่แล้ว ฝั่งครอบครัวคุณแม่เป็นศิลปิน เป็นผู้กำกับกัน คุณตาคุณยายทำหนังเยอะครับ ถ้าให้ยกตัวอย่างที่คนรู้จักกันก็เช่น ‘แม่อายสะอื้น’ ซึ่งเป็นออริจินัลของที่บ้าน แว่วเสียงซึง สตรีที่โลกลืม ฯลฯ  

ส่วนน้าๆ ก็เป็นผู้กำกับละคร คือเขามีความอาร์ตกันอยู่ในตัว จอมเคยให้น้าสอนเล่นกีตาร์โปร่ง 2 – 3 คอร์ด พอเราย้ายไปอยู่อเมริกาก็ได้เจอเพื่อนคนไทยที่โรงเรียน เขาเล่นดนตรีและแฮงเอาต์กันที่โบสถ์ Thai Mission ของคนไทยที่นั่น เราตามไปดูก็เห็นคนเล่นดนตรีกันแบบจริงจัง มีทั้งกีตาร์ไฟฟ้า คีย์บอร์ด กลอง ฯลฯ พอได้เห็นบรรยากาศนั้นก็รู้สึก “ว้าว สนุกจัง” ผมเลยเริ่มฝึกกีตาร์ไฟฟ้าเพื่อที่จะได้ไปเล่นกับเพื่อนๆ เป็นวง ที่นั่นมีคลาสสอนกีตาร์ด้วย เพราะเป็นโบสถ์ที่ music-oriented มากๆ พอเล่นไปเรื่อยๆ มันก็กลายเป็นอาชีพเฉยเลยทีนี้

LIPS: เรียนต่อมหาวิทยาลัยด้านดนตรีโดยตรงไหม

จอม: ตอนแรกจอมเรียนด้านธุรกิจครับ จุดเปลี่ยนคือเราเริ่มเล่นดนตรีเป็นอาชีพในขณะที่เรียนไปด้วย พอทำงานไปสักพักรู้สึกว่าอยากทำด้านนี้ต่อ คิดว่าเราน่าจะชอบทางนี้แล้วล่ะ เพราะหลายๆ ครั้งที่เราออกไปทำอะไรอย่างอื่น แต่พอกลับมาเห็นกีตาร์ มันก็คันไม้คันมือ อยากจับมาเล่นอยู่ตลอดเวลา ผมเลยตัดสินใจเปลี่ยนสาขาไปเรียนดนตรีโดยตรงที่ MI (Musicians Institute, LA)

LIPS: ‘สิ่งที่คิด’ กับ ‘ความเป็นจริง’ เมื่อเรียนการดนตรีโดยตรง   

จอม: ไม่เหมือนเลยครับ ไฟเราไม่แรงเหมือนตอนแรกๆ เพราะทำงานเยอะ เล่นดนตรีอาทิตย์ละ 5 วัน แล้วโรงเรียนก็อยู่ไกลด้วย แต่หนึ่งปีที่เรียนก็ได้อะไรเยอะครับ มีคุณครูที่เป็นศิลปินมาสอน ค่อนข้างใกล้เคียงกับสิ่งที่เราอยากรู้ว่าคนในวงการเพลงเขาทำงานกันอย่างไร

ผมชอบการที่ได้ปรึกษากับครูตัวต่อตัวว่าเราต้องแก้ตรงไหน เพราะในคลาสส่วนใหญ่เป็นการไล่โน้ตซึ่งผมไม่ค่อยอิน มันเหมือนเราเกิดมาแล้วพูดภาษาไทย ภาษาอังกฤษได้ แต่พอเข้าโรงเรียน เราต้องเริ่มเรียนอ่านเขียน เลยเหมือนเรียนภาษาใหม่ เหมือนดนตรีที่เราเล่นเป็น แต่ไม่ได้มีแบ็กกราวนด์ลึกๆ มาตั้งแต่เด็ก

LIPS: เล่นดนตรีแนว Soul R&B เรโทร ฯลฯ มาตั้งแต่ตอนนั้นหรือเปล่า

จอม: ตอนนั้นเล่นหลากหลายเลยครับ ตั้งแต่ฮิปฮอปไปจนถึงฝั่งแจ๊ซ ป๊อป โซล ฟังก์ มาหมด ผมรับทุกงาน เราเล่นกับหลายๆ วง ทั้งเล่นประจำ แล้วก็รับงานอยู่เรื่อยๆ ทั้งอีเวนต์ งานแต่ง งานที่โบสถ์ ฯลฯ มีเล่นกับวงฮิปฮอป และยืนพื้นเล่นกลางคืนที่ร้านอาหารไทย อันนี้หินสุดเพราะเลิกตี 2-3 แล้วต้องตื่นไปเรียนเลย

LIPS: ด้วยความที่ทางบ้านอยู่ในธุรกิจบันเทิงมาก่อน เมื่อเห็นเราจะเอาดีทางด้านนักดนตรี เขาว่าอย่างไรบ้าง เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย

จอม: หลายๆ คนค่อนข้างไม่เห็นด้วยครับ ไม่อยากให้เรามาทางนี้เท่าไร เขารู้ว่ามันยากกว่าจะเข้ามาและเลี้ยงชีวิตได้ เขาอยากให้เราไปทางอื่น แต่เราก็ดื้อครับ มาถึงขนาดนี้ต้องปล่อยละ (ยิ้ม)

LIPS: จุดเริ่มต้นการแต่งเพลงล่ะ

จอม: จอมเริ่มแต่งเพลงตั้งแต่ก่อนที่เราคิดว่าจะมาทางนี้ด้วยซ้ำครับ เพลงแรกน่าจะช่วง ม.5 – 6 เหมือนพอเริ่มเล่นดนตรีเยอะๆ มันได้ยินอะไรบางอย่างที่ทำให้เราอยากเขียนเพลงด้วย ผมเขียนตามฟีลลิงมาเรื่อยๆ โดยที่ไม่ได้คิดว่าเราจะเป็นนักแต่งเพลงหรือศิลปิน

เมื่อก่อนเวลาเขียนเพลงก็จะนึกเป็นเสียงศิลปินที่เราฟังบ่อยๆ ในช่วงเวลานั้น ไม่เคยนึกว่าเป็นเสียงตัวเองเลยครับ เหมือนจินตนาการว่าเราแต่งเพลงไปให้เขาร้อง คงเท่ดี (หัวเราะ) ศิลปินที่ผมจินตนาการถึงมีหลายเฟสครับ ถ้าช่วงที่เริ่มฝึกกีตาร์ไฟฟ้าแรกๆ จะเป็นวงไทยอย่าง Tattoo Colour เป็นส่วนใหญ่ ตอนนั้นอินมากเพราะมีอะไรให้ฝึกเยอะ ผมเก็บแผ่นเขาทุกอัลบั้มเลยนะ ถ้าเป็นต่างชาติก็มี John Mayer ครับ หรือถ้าเป็นแนวร็อก ผมชอบกลับไปฟัง X – Japan, AC/DC, Guns n’ Roses

LIPS: กลับมาอยู่เมืองไทยนานหรือยัง จุดที่ทำให้ตัดสินใจกลับมาคืออะไร

จอม: กลับมาอยู่เมื่อไม่เกิน 2 ปีที่แล้วครับ จริงๆ ตั้งใจจะกลับตั้งแต่ก่อนโควิดแล้ว ด้วยความที่เราเริ่มมีความคิดว่าอยากทำเพลง อยากทำอะไรของตัวเอง เพราะเราเล่นดนตรีเป็นอาชีพอยู่ที่นู่นจนถึงจุดอิ่มตัวระดับหนึ่ง รู้สึกว่ามันถึงเพดานที่เราพอใจแล้วเลยอยากทำอะไรที่ท้าทายขึ้น แล้วส่วนใหญ่เพลงที่เราแต่งไว้ก็เป็นภาษาไทยครับ

LIPS: เคยคิดไหมว่าจะเป็นนักแสดงในธุรกิจครอบครัว

จอม: โดนคุณยายเชียร์มาเรื่อยๆ ครับ ตอนที่คุณยายยังมีชีวิตอยู่ เขาเชียร์ให้เรามาสายนี้มาก บอกว่าทำงานไม่กี่ปีก็ซื้อบ้านได้แล้ว แต่ด้วยความที่เรายังเด็ก แล้วก็ได้ยินอะไรแบบนี้มาตลอด เลยเฉยๆ เหมือนคนที่โตมากับสิ่งไหนก็มักจะต่อต้านสิ่งนั้น ผมไม่รู้เหมือนกันนะว่าทำไม (ยิ้ม)  

LIPS: เป็นภาวะหลีกหนี

จอม: (หัวเราะ) ใช่ๆ ทำนองนั้นมั้งครับ น้าก็อยากให้จอมเรียนด้านภาพยนตร์ จะได้สานต่อ legacy ของที่บ้าน คือไม่ต้องเป็นนักแสดงก็ได้ แต่ตอนนั้นเราอินด้านดนตรีไปแล้ว

Words: Sasi Akkomee
Photos: Somkiat Kangsdalwirun

Related Articles

เว็บไซต์ของเราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้ เราได้อธิบายความหมายและวิธีการใช้คุกกี้ของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถเข้าใจแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือการเปิดเผย รวมถึงทางเลือกในการใช้คุกกี้ของเรา อ่านเพิ่มเติม