![](https://www.lips-mag.com/wp-content/uploads/2023/04/AW-Stroke-Web-Main-Notext-1024x538.jpg)
ควันจากท่อไอเสีย เครื่องยนต์ร้อนฉ่า แดดเปรี้ยง อุณหภูมิสูงจัด รถที่ไม่มีแอร์ ปัจจัยต่างๆที่เมื่อมัดรวมกันแล้วก็ทำให้นักแข่งรถสุ่มเสี่ยงอาจเสียชีวิตจากความร้อนได้
![ห้องคนขับที่ไม่ได้ออกมาแบบให้ขับสบายแต่เน้นความเร็วและน้ำหนักรถเบาที่สุด](https://www.lips-mag.com/wp-content/uploads/2023/04/felipe-massa-of-brazil-and-ferrari-stops-for-a-pitstop-news-Photo-Paul-Gilham-Getty-Images-1024x1018.jpg)
ความร้อนกับนักแข่งรถ
ในวันที่ 30 พฤษภาคม ปี ค.ศ. 1953 การแข่งขัน Indianapolis 500 ปี 1953 ได้ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นการแข่งขันท่ามกลางอากาศร้อนรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่ง ในวันนั้น Indianapolis Motor Speedway สนามแข่งรูปวงรีระยะทาง 4 กิโลเมตรในรัฐอินดีแอน่า สหรัฐอเมริกา วัดอุณหภูมิพื้นถนนได้ถึง 54 องศาเซลเซียส ยังผลให้นักแข่งรถไม่ว่าจะมือเก๋าหรือหน้าใหม่ต้องสลับตัวออกให้นักขับสำรองมาลงแข่งแทนกันเป็นแถว เพราะทนความร้อนที่เหมือนขับรถอยู่บนเตาเผา ซึ่งหายใจเข้าทีไร เหมือนสูดไฟเข้าไปในปอด
ในการแข่งขันครั้งนั้น Bill Vukovich นักแข่งชาวเซอร์เบียพารถ Kurtis Kraft Fuel Injection Special หมายเลข 14 ขับนำโด่ง 195 รอบจากทั้งหมด 200 รอบ รวมระยะทาง 805 กิโลเมตรเข้าไปคว้าชัยได้ในที่สุด บิลตอบคำถามนักข่าวที่ถามว่า ขับไปได้ยังไง ไม่ร้อนหรือ บิลตอบว่า “ลองขับรถแทร็กเตอร์ในเมืองเฟรสโนตอนเดือนกรกฎาแล้วจะรู้” บิลหมายถึงเมืองเฟรสโน ในแคลิฟอร์เนีย ซึ่งในหน้าร้อนอุณหภูมิเฉลี่ย 38 องศาเซลเซียส
![Bill Vukovich ขับ Kurtis Kraft Fuel Injection Special No. 14 เข้าเส้นชัยเป็นคันแรกในการแข่งขัน Indy 500 ที่อินดีแอน่าที่ได้ชื่อว่าเป็นสนามที่ร้อนที่สุด](https://www.lips-mag.com/wp-content/uploads/2023/04/Bill-Vukovich-drives-the-Kurtis-Kraft-Fuel-Injection-Special-No.-14-Photo-IMS-Photo-Archive-02-1024x581.jpg)
ท่ามกลางชัยชนะครั้งแรกอันงดงามของบิล นักแข่งรถฟอร์มูล่าวันรายอื่นต้องเผชิญกับนรกบนดิน เป็นต้นว่า Pat Flaherty นักแข่งรถชาวอเมริกันพุ่งเข้าชนกำแพงเพราะอ่อนเพลียจัดจากอากาศร้อน แต่ไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรง ขณะที่มีนักแข่งรถ 14 รายต้องให้นักขับสำรองมาลงแข่งแทน
![Carl Scarboroughs กับรถคู่ใจ McNamara Special ก่อนเสียชีวิตจากอากาศร้อนจัดในการแข่งขันเมื่อปี 1953](https://www.lips-mag.com/wp-content/uploads/2023/04/Carl-Scarboroughs-1953-McNamara-Special-Photo-www.indymotorspeedway.com-01-1024x830.jpg)
ตรงกันข้ามกับ Carl Scarborough นักแข่งรถชาวอเมริกันที่ห้องรถ Kurt/Wett D – Offenhauser หรือ ‘McNamara Special’ หมายเลข 73 ตะบึงไปบนพื้นสนามแข่งที่ร้อนเหมือนเตาไฟ รถของเขาหมุนคว้างหลังจากไปชนเข้ากับรถของ Tony Bettenhausen ที่ทำให้คาร์ลเวียนหัวจากอุบัติเหตุไปแล้วหนึ่ง และในการขับรอบที่ 70 คาร์ลพารถเข้าจอดในพิตสต็อปและดูอ่อนเพลียอย่างแรงจากอากาศร้อน
นายช่างทั้งหลายง่วนกับการเช็กสภาพรถและเติมน้ำมัน คาร์ลยังนั่งอยู่ในเก้าอี้คนขับขณะที่น้ำมันรถที่ช่างเติมอย่างเร็วกระฉอกออกมาโดนท่อไอเสียร้อนๆจนไฟลุก นักดับเพลิงรีบเข้ามาฉีดโฟมดับไฟ คาร์ลซึ่งนั่งไร้เรี่ยวแรงอยู่ในรถถึงกับโดนหามออกมานั่งพิงกำแพง และถูกเปลี่ยนตัวให้ Bob Scott ขับแทนในรอบที่เหลือ
สุดท้ายคาร์ลหมดสติไปจากอากาศร้อน และคาดว่าเขาสูดคาร์บอนมอนอกไซด์จากถังดับเพลิงเข้าไปด้วย รถพยาบาลมาถึงในอีก 15 นาทีถัดมา จึงได้รู้ว่าอุณหภูมิในร่างกายของเขาสูงถึง 40 องศาเซลเซียส เมื่อไปถึงโรงพยาบาล แพทย์พยายามกู้ชีพทุกวิถีทาง ให้หลังจากที่โดนหามตัวออกมาจากรถ คาร์ลมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีก 1 ชั่วโมงครึ่งก่อนจะเสียชีวิตที่โรงพยาบาล
ส่วนในปี 1984 ในการแข่งฟอร์มูล่าวันที่ดัลลัส ได้เกิดภาพประวัติศาตร์ที่นักแข่งรถชาวอังกฤษ Nigel Mansell ขับรถชนกำแพงจนต้องหยุดรถ แต่เขาพยายามเข็นรถไปถึงเส้นชัย ทว่าเป็นลมหมดสติไปเสียก่อนเนื่องจากเป็นฮีตสโตรกจากสภาพอากาศร้อนจัด 38 องศาเซลเซียส
![Nigel Mansell หมดสติจากความร้อนจัด หลังจากฝืนขับรถในการแข่งขันฟอร์มูล่าวันที่ดัลลัสเมื่อปี 1984](https://www.lips-mag.com/wp-content/uploads/2023/04/Nigel-Mansell-collapses-trying-to-push-his-Lotus-F1-car-over-the-line-at-the-1984-Dallas-GP-Mansell-collapses-in-the-heat-at-Dallas-84-1024x576.jpg)
![Jenson Button](https://www.lips-mag.com/wp-content/uploads/2023/04/Formula-One-F1-Monaco-Grand-Prix-Monaco-25-05-2017-McLaren-Hondas-Jenson-Button-waves-before-the-start-of-the-first-free-practice-session.-REUTERS-Max--1024x706.jpg)
27 มีนาคม 2022 Jenson Button อดีตแชมป์ฟอร์มูล่าวันที่ย้ายไปขับรถแข่งนาสคาร์สนามแรกในเท็กซัสกล่าวว่า เกือบจะถอนตัวจากการแข่งขันหลังจากขับไปได้แค่ 18 รอบ เพราะสภาพอากาศในสนามและในห้องคนขับร้อนจัดจนเขาเกิดอาการเพลียแดดขึ้นมา จนต้องพารถเข้าไปจอดพักที่พิตสต็อป 2 ครั้งเพื่อให้ทีมงานเอาน้ำแข็งมาโปะตามตัวและดื่มน้ำเยอะๆ พอให้มีสติขับรถต่อไปได้ “ผมเกือบจะออกจากรถไปแล้วเพราะคิดว่าตัวเองจะเป็นลม ผมดื่มน้ำ 8-9 ขวดเห็นจะได้ในช่วงที่ลงแข่ง”
สภาพของนักขับระหว่างแข่ง
รถแข่งฟอร์มูล่าวันถูกออกแบบมาให้ตัวถังเย็นลงเมื่อเจอกับแรงลมขณะวิ่งรถ หากติดเครื่องยนต์และจอดแช่ไว้ ตัวรถจะค่อยๆ ร้อนขึ้น ดังนั้นเมื่อนักแข่งนำรถเข้ามาจอดในพิตสต็อป ทีมช่างจะเปิดพัดลมไอเย็นแรงลมสูงมาช่วยดับร้อนให้กับรถและคนขับ รวมทั้งเอาน้ำแข็งแห้งไปโปะตามจุดที่รถร้อน เช่น เบรกและหม้อน้ำ
![ช่างทีม Red Bull รีบโปะน้ำแข็งแห้งให้รถแข่ง](https://www.lips-mag.com/wp-content/uploads/2023/04/Steam-from-dry-ice-around-a-Red-Bull-car-800x450.jpg-1024x576.jpg)
นักแข่งรถฟอร์มูล่าวันต้องฝึกฝนร่างกายให้ชินกับสภาพอากาศร้อนจัด เช่น ใส่ชุดนักแข่งไปฝึกซ้อมหรือปั่นจักรยานในห้องเซาน่า เพราะในรถแข่งไม่ติดแอร์ ด้วยต้องการให้รถแข่งมีน้ำหนักเบาที่สุด ดังนั้นตัวช่วยทำให้เย็นจึงไปอยู่ที่ตัวนักแข่งรถเองที่อาจใส่เสื้อกั๊กปรับอุณหภูมิ พันแผ่นทำความเย็นหรือน้ำแข็งแห้งชนิดเกล็ดไว้ตามแขนเสื้อ อก แผ่นหลัง ในหมวกกันน็อกและในรองเท้า รวมทั้งอาจสวมปลอกคอทำความเย็นเพื่อให้เลือดลมไหลเวียนไปสู่สมองได้ดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้เย็นได้นานนัก เมื่อเจอกับความร้อนในห้องคนขับ
![นักแข่งรถสวมเสื้อกั๊กทำความเย็น](https://www.lips-mag.com/wp-content/uploads/2023/04/Charles-Leclerc-wearing-a-cooling-vest-1024x576.jpg)
![Max Verstappen แชมป์ฟอร์มูล่าวันจากทีม Red Bull เตรียมออกสตาร์ทในห้องคนขับที่ทั้งเล็ก แคบและร้อนถึง 50-60 องศาเซลเซียส](https://www.lips-mag.com/wp-content/uploads/2023/04/max-verstappen-of-netherlands-and-red-bull-racing-prepares-news-Photo-Mark-Thompson-Getty-Images-1024x1022.jpg)
การแข่งขันหนึ่งครั้ง นักแข่งรถต้องอยู่ในห้องคนขับที่อาจร้อนได้ถึง 50-60 องศาเซลเซียสติดต่อกันราวๆ 2 ชั่วโมงครึ่ง น้ำหนักตัวอาจหายไปถึง 3 กิโลกรัมจากการเสียเหงื่อ ขณะที่ต้องพยายามจิบน้ำบ่อยๆเพื่อไม่ให้ร่างกายช็อกจากภาวะขาดน้ำ เพลียแดด (heat exhaustion) หรือเป็นลมแดด (heatstroke) ที่พบได้บ่อยเมื่อเจอกับความร้อนจัด
Heat Stroke (ฮีตสโตรก) เกิดจากอะไร?
เกิดจากการที่ร่างกายมีอุณหภูมิสูงจัดและไม่สามารถระบายความร้อนออกไปได้ทัน ปกติร่างกายมีกลไกขับความร้อนด้วยการขับเหงื่อ แต่หากมีเหตุขัดข้องที่ร่างกายไม่อาจขับเหงื่อได้ก็จะมีความเสี่ยงต่อภาวะฮีตสโตรกได้มากขึ้น โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อนๆ
กลุ่มเสี่ยงต่อฮีตสโตรก
เด็กอายุต่ำกว่า 4 ปี และผู้ใหญ่ 65 ปีขึ้นไป เสี่ยงต่อฮีตสโตรก เนื่องจากเป็นวัยที่สมองมีการตอบสนองต่อความร้อนได้น้อยกว่าวัยอื่นๆ รวมทั้งผู้ที่กินยาขับปัสสาวะ เช่น ยาลดความดันบางตัว หรือคนที่ดื่มแอลกอฮอล์ในวันอากาศร้อน แม้จะเป็นเครื่องดื่มเย็นก็ตาม เพราะแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ จึงทำให้ร่างกายสร้างเหงื่อได้น้อยลง
สัญญาณเริ่มต้นที่บ่งบอกว่าเป็นฮีตสโตรก (Heat Stroke)
คือร่างกายมีอุณหูภูมิสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส รู้สึกปวดเมื่อยตามตัวเนื่องจากตัวร้อนมาก ตัวแดงเนื่องจากร่างกายพยายามดันเลือดไปที่ผิวหนัง แต่ผิวจะแห้ง ไม่มีเหงื่อชุ่มโชก คนที่ออกกำลังกายกลางแจ้งแต่เหงื่อไม่ออกก็อาจเจอกับภาวะฮีตสโตรกได้ ชีพจรจะเต้นเร็วแรงมาก เนื่องจากหัวใจพยายามปั๊มเลือดไปที่ผิวหนังเพื่อขับความร้อน แต่ว่าความร้อนออกไปไม่ได้ และส่งผลไปถึงสมอง ทำให้วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน เป็นลม หมดสติ ชักหรือเสียชีวิตได้
![Sebastian Vettel นักแข่งรถชาวเยอรมันจากทีม Red Bull](https://www.lips-mag.com/wp-content/uploads/2023/04/red-bull-renault-driver-sebastian-vettel-of-germany-takes-a-news-Photo-PETER-PARKS-Getty-Images-1024x1021.jpg)
หากมีอาการเหล่านี้ ต้องรีบลดความร้อนในร่างกายให้เร็วที่สุด โดยเอาน้ำเย็นมาราดตัว อาบน้ำเย็นหรือประคบน้ำแข็งตามจุดที่มีเส้นเลือดดำใหญ่ เช่น รักแร้ ซอกคอ ขาหนีบ ข้อพับ ร่วมกับโบกพัดไปทั่วตัวเพื่อให้น้ำระเหยซึ่งจะนำความร้อนออกไปจากผิวหนังได้ ถ้าตัวเริ่มเย็นลงแล้วให้อมน้ำแข็งหรือกินไอศกรีม หาก 5 นาทีแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ต้องรีบส่งตัวไปโรงพยาบาลโดยด่วนที่สุด
Words: Suphakdipa Poolsap
ข้อมูลจาก