Search
Close this search box.
Search
Close this search box.
HOME / Interview / People

‘ฟลุ้ค – ณธัช ศิริพงษ์ธร’ นักแสดงหน้าหวานงานชุก จากจุดแจ้งเกิด ‘ด้ายแดง’ สู่แฟนมีตเดี่ยวครั้งแรก 11.11 นี้

Interview / People

ไม่เคยทำให้ผิดหวังในทุกบทบาทสำหรับ ฟลุ้ค – ณธัช ศิริพงษ์ธร เจ้าของฉายา ‘เจ้าแก้มก้อน’ นักแสดงหน้าหวานที่มีผลงานแสดงรัวๆแบบไม่ปล่อยให้ด้อมได้หยุดกรี๊ด

แม้จะเข้าสู่แวดวงการแสดงมาร่วม 10 ปี แต่หลายคนมักจะรู้จักเขาในนาม ‘ฟลุ้ค ด้ายแดง’ นามสกุลพ่วงท้ายที่ได้มาจากความนิยมในผลงานซีรีส์วายแนวรักระลึกชาติเมื่อเกือบ 4 ปีก่อน และกลายเป็นปฐมบทความปังระดับอินเตอร์ของนักแสดงนำ โดยเฉพาะคู่พระ-นายสุดฮอต ‘โอห์ม & ฟลุ้ค’ (โอห์ม – ฐิติวัฒน์ ฤทธิ์ประเสริฐ) ที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามกับแฟนมีตติงทั้งในโตเกียวและโอซาก้า

ปีนี้ฟลุ้คยังแรงไม่แผ่ว มีผลงานหลากหลายมากำนัลหัวใจแฟนๆ จาก ‘อมตะพันธุ์สยอง Immortal Species’ ภาพยนตร์ระทึกขวัญที่ลงโรงเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ตามด้วยซีรีส์ Y Journey EP 3 – เฮียไม่ปลื้ม มาพร้อมคู่จิ้นเคมีใหม่ ‘ยูโด – ธรรม์ธัช ธารินทร์ภิรมย์’ ที่จับมือกันดังจากซีรีส์ Make a Wish ภารกิจนายเทวดา ที่ออกอากาศในญี่ปุ่นหลากหลายช่องทาง จนมีเสียงเรียกร้องแฟนมีตติ้งคู่ครั้งแรก 

ยังไม่พอ ฟลุ้คยังชวนดูซีรีส์ Shadow เงา/ล่า/ตาย ทางแพลตฟอร์มสตรีมมิง VIU ก่อนฝากฝังแฟนมีตติงเดี่ยวครั้งแรก I’M FLUKE : ONE MOMENT IN TIME 1ST FAN MEETING ในวันที่ 11 เดือน 11 นี้ ปล่อยงานมาแบบรัวๆแบบไม่พัก ด้อมเจ้าแก้มก้อนแน่นอนว่าปลื้ม แต่ LIPS ขอถามว่า น้อน นอนตอนไหนก่อน! 

“วงการบันเทิงสอนให้เราเข้าใจสัจธรรมในการใช้ชีวิตที่ว่า เราต้องพยายามหาหนทางหรือทางเลือกสำรองไว้เสมอ”

LIPS: รีวิวชีวิตตอนเด็กๆ ก่อนจะมาเป็น ‘ฟลุ้ค’ ที่ทำอาชีพนักแสดงมาถึง 10 ปีแล้วในวันนี้ 

ฟลุ้ค: ฟลุ้คเติบโตในอำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน พออายุได้สัก 3 ขวบ คุณพ่อกับคุณแม่แยกทางกัน เราเลยได้อยู่กับคุณย่า แต่คุณพ่อก็ยังมาหาทุกวันหลังเลิกงาน

พอขึ้น ม.1 เราเริ่มวัยรุ่นน่ะครับ มีฟีลดื้อ เอาแต่ใจ เขาสอนอะไรก็เถียง คุณย่าเริ่มเอาไม่อยู่ ดูแลไม่ไหว ฟลุ้คเลยต้องย้ายไปอยู่กับคุณพ่อที่อยู่คนละหมู่บ้าน จำได้ว่าทะเลาะกับที่บ้านบ่อย ด้วยความที่เราไม่ได้อยู่กับคุณพ่อมาตั้งแต่เด็ก คุณพ่อมีครอบครัวใหม่ ไม่มีลูก แต่ตอนหลังก็แฮปปี้ เพราะคุณแม่ (คุณแม่บุญธรรม) รักเราเหมือนลูก

LIPS: เริ่มเข้าวงการตั้งแต่เรียน ม. ปลาย อยู่ที่ลำพูนเลยหรือเปล่า 

ฟลุ้ค: ‘พี่ชาย My Bromance’ เป็นการแสดงเรื่องแรกในชีวิตครับ แต่ภาพยนตร์ที่ได้ออกฉายก่อนคือ ‘เกรียน ฟิคชั่น’ ตอนนั้นทีมงานพี่ชาย My Bromance ติดต่อมาทางเฟซบุ๊กว่าจะมีการแคสติงนักแสดงที่เชียงใหม่ เพราะโปรดักชันเฮาส์ที่ทำหนังเรื่องนี้อยู่ที่นั่น ฟลุ้คก็เลยรบกวนให้ที่บ้านมาส่งที่เชียงใหม่ จำได้ว่าใส่ชุดนักเรียนไปแคสต์เลย พี่เขาก็ให้ลองเล่นซีนหนึ่งซึ่งเอาจริงๆ ตอนนั้นตื่นเต้นมาก เพราะปกติเราเป็นคนขี้อาย ไม่กล้าแสดงออก พอต้องมาทำอะไรต่อหน้าคนที่ไม่รู้จักก็เลยเกร็ง

LIPS: อะไรทำให้เด็กขี้อายเอ่ยปากขอให้พ่อไปส่งคัดเลือกนักแสดง  

ฟลุ้ค: มันจุดประกายว่าน่าสนใจดีครับ การที่จะได้เล่นหนัง การเป็นที่รู้จัก ฟลุ้คอยากลองหาประสบการณ์ คุณพ่อบอกว่าถ้าอยากลองก็ไปดู เขาสบายๆ ไม่ได้ห้ามอะไร

“คุณพ่อลาออกจากงานมาเช่าบ้านอยู่ที่กรุงเทพฯ ด้วยกัน ตอนนั้นเราอยู่ ม.5 ก็ตั้งใจว่าจะเป็นคนทำงานหาเลี้ยงคุณพ่อกับคุณแม่เอง”

LIPS: แล้วมาเล่น ‘เกรียน ฟิคชั่น’ ได้ยังไง เขาใช้ทีมแคสติ้งเดียวกันหรือ

ฟลุ้ค: คนละทีมครับ พอแคสต์พี่ชาย My Bromance ได้ก็เริ่มมีภาพเราในโซเชียล ทีมงานเห็นเราจากตรงนั้นก็เลยทักมาว่าสนใจอยากเล่นเรื่องนี้ด้วยมั้ย ฟลุ้คก็เลยไปลองแคสต์ที่สตูดิโอคำม่วนของพี่มะเดี่ยว (ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล – ผู้กำกับ) หนังทั้งสองเรื่องถ่ายที่เชียงใหม่ ช่วงนั้นฟลุ้คก็เลยไป – กลับลำพูนตลอด บางวันก็ค้างที่เชียงใหม่ไปเลย

LIPS: เผลอแป๊บเดียวผ่านมา 10 ปีแล้วหลังจากก้าวแรกในวงการบันเทิง

ฟลุ้ค: ช่วงแรกทุกอย่างไปได้ดีเลยครับ พี่ชาย My Bromance เป็นหนังวายที่ทุนไม่หนา แต่ทำรายได้ค่อนข้างสูงและกระแสดีมาก คนรู้จักฟลุ้คมากขึ้น เรามีชื่อเสียง มีคนติดตาม ทำให้เราได้รับโอกาสต่างๆ เรื่อยๆ จนเริ่มมีรายได้แบ่งเบาภาระครอบครัว   

รายการหนึ่งของช่องดังก็ติดต่อให้เราเซ็นสัญญา ใจเราอยากเซ็นมากๆ เพราะอยากต่อยอดการทำงาน แต่คุณพ่อไม่ให้เพราะต้องมาถ่ายทำที่กรุงเทพฯ ทุกเดือน ตอนนั้นก็แอบเฟลนิดนึง ทีนี้พอมีภาพยนตร์เรื่องที่ 3 – 4 ติดต่อมา ซึ่งกองถ่ายอยู่ที่กรุงเทพฯ อีก ฟลุ้คก็เลยตัดสินใจคุยกับที่บ้านว่าขอย้ายมากรุงเทพ สุดท้ายคุณพ่อบอกว่าถ้าจะไป เดี๋ยวเขามาอยู่ด้วย คุณพ่อก็เลยลาออกจากงานมาเช่าบ้านอยู่ที่กรุงเทพฯ ด้วยกัน ตอนนั้นเราอยู่ ม.5 ก็ตั้งใจว่าจะเป็นคนทำงานหาเลี้ยงคุณพ่อกับคุณแม่เอง เพราะเขาอาจจะต้องใช้เวลาในการหางานใหม่

“ซีรีส์ ‘ด้ายแดง’ เป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่ทำให้เรากลับมาเป็นที่รู้จักในวงกว้างอีกครั้ง”

LIPS: แล้วความตั้งใจนั้นสำเร็จลุล่วงไหมเมื่อเข้ามาปักหลักในกรุงเทพฯ

ฟลุ้ค: เรื่องงานก็เหมือนดิ่งลงครับ เพิ่งเข้าใจว่างานในวงการบันเทิงไม่ได้มีเข้ามาตลอด แต่เรายังคงต้องจ่ายค่าเช่าบ้าน ค่ากินอยู่ ค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็เลยค่อนข้างลำบาก ทั้งคุณพ่อ คุณแม่ และฟลุ้คพยายามช่วยกันทำงาน ดิ้นรนจนถึงช่วงเข้ามหาวิทยาลัยซึ่งต้องใช้เงินเยอะ แต่เราไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้น โชคดีที่ได้ทุนสนับสนุนการเรียน 100% จากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์  

ช่วงนั้นฟลุ้คยังมีงานประปราย ละครบ้าง ซีรีส์บ้าง แต่กว่าจะถ่ายทำเสร็จ กว่าเงินจะออกก็ต้องรอ ระหว่างนั้นเราต้องพยายามหมุนเงินให้ได้ ถือว่าหนักหน่วงเลย ถึงขนาดคุณพ่อคุณแม่เสนอว่ากลับไปอยู่ลำพูนกันเถอะ เพราะเขาไม่ไหวแล้ว เราเองก็ทั้งเหนื่อย ทั้งท้อ เหมือนจะยอมแพ้อยู่หลายครั้ง แต่ยังบอกคุณพ่อคุณแม่ว่าอดทนอีกนิดนึงนะ เดี๋ยวก็จะเรียนจบแล้ว

บางวันไม่มีเงินไปเรียน คุณพ่อก็พยายามทำงานหาเงินมาให้ลูกได้ไปเรียน คุณพ่อให้ความสำคัญกับการศึกษามากๆ ด้วยความที่เขาจบแค่ ม.6 เพราะมีลูกเสียก่อน คุณพ่อบอกว่ายังไงก็ต้องจบปริญญาตรี ให้ได้นะ

เราปากกัดตีนถีบกันมาก จนในที่สุดฟลุ้คก็เรียนจบมหาวิทยาลัย ก่อนที่ต่อมาจะได้รับโอกาสให้เล่นซีรีส์ ‘ด้ายแดง’ ซึ่งกลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่ทำให้เรากลับมาเป็นที่รู้จักในวงกว้างอีกครั้ง เดี๋ยวนี้คุณพ่อไม่ได้ทำงานแล้ว เพราะเราบอกให้อยู่บ้าน เราเลี้ยงดูเขาได้แล้ว เขาเหนื่อยมาพอสมควรในช่วงที่เราไม่มีรายได้ ถึงเวลาที่ทุกคนต้องพักได้แล้ว

LIPS: ได้เรียนรู้อะไรบ้างจากกราฟชีวิตที่ขึ้นและลง

ฟลุ้ค: ‘ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน’ ครับ เราเคยคิดว่าเราจะมีงาน เราจะมั่นคงในสายอาชีพนี้ แต่สุดท้ายอะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ เราเข้าใจสัจธรรมของงานในวงการบันเทิงมากขึ้น รวมถึงสัจธรรมในการใช้ชีวิตที่ว่าเราต้องพยายามหาหนทางหรือทางเลือกสำรองไว้เสมอ ถ้าทางใดทางหนึ่งไม่เวิร์ก ต้องหาหนทางอื่นมาซัพพอร์ต

วงการบันเทิงสอนให้เราเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ฟลุ้คได้เห็นอะไรหลายๆ อย่าง ได้มีทักษะใหม่ๆ ได้รู้จักตัวเองมากขึ้น ทำให้รู้ว่าอนาคตเราอยากไปทิศทางไหน ทำอะไรต่อ

“เราโตมากับชุดความคิดที่ว่า แสดงหนังต้องเล่นน้อยๆ แต่ถ้าเป็นละครและซีรีส์ เราต้องเล่นให้ใหญ่ขึ้น แต่จริงๆ แล้วขึ้นอยู่กับคาแรกเตอร์ของตัวละคร”

LIPS: ได้กลับมารับบทนำเป็นคู่หลักในซีรีส์ ‘ด้ายแดง Until We Meet Again’ แถมประสบความสำเร็จมากทั้งในและต่างประเทศ  

ฟลุ้ค: ต้องขอบคุณพี่นิว (ศิวัจน์ สวัสดิ์มณีกุล – ผู้กำกับ) มากครับที่มองว่าเราเหมาะกับบทดราม่า ทั้งๆ ที่ตอนตัดสินใจไปแคสต์ ตัวฟลุ้คเองยังไม่ได้มีความมั่นใจขนาดนั้นว่าเราจะทำได้ ตอนแคสต์พี่นิวให้เล่นดราม่า ให้ร้องไห้ ปรากฏว่าเขาชอบและคิดว่าเรารับบท ‘ภาม’ ได้ ทั้งที่ตอนนั้นเรารู้สึกว่าตัวเองยังเล่นได้ไม่สุด แต่เขาคงเห็นศักยภาพเราตั้งแต่วันนั้น

LIPS: มีวิธีในการเก็บรายละเอียดทางอารมณ์ของหนุ่มน้อยเจ้าน้ำตายังไง

ฟลุ้ค: พี่นิวพยายามดึงให้เราเป็นตัวละครมากที่สุด พอเราเชื่อตาม คล้อยตาม เราอินไปกับบท อินกับสิ่งที่พี่นิวพูด อยู่ดีๆ อารมณ์มาเองแบบไม่รู้ตัวตั้งแต่คิวที่ 2-3 เลย อ๋อ…เป็นแบบนี้นี่เอง จากจุดนั้นก็ทำให้เรารู้สึกหลงใหล อยากศึกษาต่อในเรื่องของการแสดงมากขึ้นไปอีก เพราะการที่เราจะเข้าถึงซีนดราม่าได้ขนาดนั้น ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ จะร้องไห้ได้เลย เราต้องทำการบ้านกับบท ต้องเข้าใจตัวละครจริงๆ พี่นิวให้พี่ดิว เดอะสตาร์ (อรุณพงศ์ ชัยวินิตย์) มาช่วยโค้ช พี่ดิวเป็นลูกศิษย์หม่อมน้อย (ม.ล. พันธุ์เทวนพ เทวกุล) เลยได้เอาทักษะการแสดงที่เคยเรียนกับหม่อมน้อยมาถ่ายทอดให้กับเราด้วย

LIPS: น้ำตาไหลได้แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเป็นทักษะการแสดงที่น่าทึ่งเลย

ฟลุ้ค: จริงๆ ยากมากครับ แต่ด้วยความที่เราอ่านนิยายมาก่อน เราเคยร้องไห้กับนิยาย เราเข้าใจตัวละคร ตอนเข้าฉากเลยพยายามนึกว่าตอนนั้นเราร้องไห้เพราะอะไร สิ่งที่ตัวละครต้องเจอมันน่าสงสารแค่ไหน คือเรามีภาพในหัว แต่ก็ต้องค้างอารมณ์นั้นไว้ไม่คิดไปก่อน ไม่งั้นคนเขาจะดูออกว่าเราเตรียมตัวร้องไห้ไปจากบ้าน (หัวเราะ)

LIPS: เห็นตัวละครที่ฟลุ้คเคยรับบทมีชื่อเแปลกๆ ทั้งอีแปง ขะมอด ยอล่า นอกจากด้ายแดงที่เป็นมาสเตอร์พีซ ยังมีผลงานไหนอีกที่อยากแนะนำให้ดูอีก

ฟลุ้ค:ตีสามคืนสาม 3D’ กับ ‘มอญซ่อนผี’ เป็นหนังผีคอเมดี้ที่ฉีกคาแรกเตอร์เรามาก อย่างบทขะมอดในตีสามคืนสาม 3D ตอนฉายรอบสื่อมวลชน ไม่มีใครจำเราได้เลยเพราะเราทาตัวดำ เล่นเป็นแต๋ว แต่พอได้รับเสียงชื่นชมจากคนที่ได้ดูภาพยนตร์ เราก็รู้สึกดีใจ

 “คนอาจติดภาพว่าเราต้องจิ้นกับคนนี้เท่านั้น แต่ในฐานะที่เราเป็นนักแสดง ฟลุ้คคิดว่าเราสามารถร่วมงานกับใครก็ได้”

LIPS: ฟลุ้คยังไปเล่นหนัง ‘อมตะพันธุ์สยอง Immortal Species’ ด้วย 

ฟลุ้ค: ใช่ๆ ฟลุ้คตื่นเต้นมาก เป็นหนัง CG ฟอร์มยักษ์ของไทยที่ได้ทีมงานคุณภาพมาปั้น CG กันเกือบ 2 ปีเลยครับ อีกอย่างก็เป็นการกลับมาเล่นหนังอีกครั้ง หลังจากที่ฟลุ้คห่างหายไปนานพอสมควร เรารับบทเป็น ‘นาวา’ นักศึกษาด้านพฤกษศาสตร์ที่ชวนเพื่อนๆ อีก 4 คน (ออกัส – วชิรวิชญ์ ไพศาลกุลวงศ์, พลอย ศรนรินทร์, บิว – ณัฐพล ไรยวงค์, พีพี – พัชญา เพียรเสมอ) ไปทำวิจัยพืชหายาก ซึ่งเชื่อกันว่าอาจเป็นยาอายุวัฒนะได้ แต่พอเข้าไปเสาะแสวงหาในป่าลึกลับ เรากลับต้องเอาชีวิตรอดจากจระเข้ยักษ์ยุคดึกดำบรรพ์ให้ได้

ฟลุ้คไม่เคยเล่นหนังผจญภัยแบบนี้มาก่อน เราดูแนวนี้มาเยอะ แต่พอเล่นเองแล้วเหนื่อยมากที่ต้องตื่นเต้นตกใจ วิ่งเข้าป่าตอนกลางคืน (หัวเราะ) เราถ่ายทำที่ต่างจังหวัดกันค่อนข้างเยอะ ทั้งลงน้ำ เข้าถ้ำ แถมเริ่มถ่ายตอนเย็น แล้วเลิกกองตอนเช้าของอีกวัน

Shadow เงาล่าตาย
การแสดงบทบาทได้หลากหลายของฟลุ้คผ่านผลงานในเวลาไล่เลี่ยกัน

LIPS: ได้ประยุกต์เอาศาสตร์การแสดงหนังไปใช้กับละคร หรือเอาทักษะละครไปใช้กับหนังบ้างไหม

ฟลุ้ค: เมื่อก่อนฟลุ้คเข้าใจว่าการแสดงหนังต้องเล่นน้อยๆ เพราะเดี๋ยวภาพจะไปออกจอใหญ่ แต่ถ้าถ่ายละคร ถ่ายซีรีส์ เราต้องเล่นให้ใหญ่ขึ้น ชัดขึ้น เพราะจะไปออกจอเล็ก เราโตมากับชุดความคิดแบบนี้ แต่จริงๆ แล้วขึ้นอยู่กับคาแรกเตอร์ของตัวละครและผู้กำกับมากกว่าว่าอยากได้แบบไหน เขาอาจจะอยากให้เราเล่นใหญ่กว่านี้อีกนิด หรือเล่นให้เล็กลงมาหน่อย ฟลุ้คว่าศาสตร์การแสดงเราเอามาใช้ได้กับทั้งสองสื่อ

นี่ก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ฟลุ้คแพลนไว้ว่าอีก 2 ปีจะไปเรียนต่อด้านการแสดงโดยตรง ทีแรกกะว่าจะเรียนต่อปริญญาโทที่จุฬาฯ แต่อาจารย์ที่อยากเรียนด้วยไม่ได้สอนแล้ว ทีนี้พอหาข้อมูลไปเรื่อยๆ ฟลุ้คก็เริ่มมองว่าเราไปเรียนต่างประเทศเลยดีกว่า น่าจะเป็นประเทศอังกฤษครับ เพราะใช้เวลาเรียนแค่ 1 ปี

“สมัยที่ฟลุ้คเล่นแนววายใหม่ๆ ตอนนั้นเป็นที่นิยมในวงแคบกว่านี้เยอะ มีความเฉพาะกลุ่มมากๆ การฉายก็จำกัดแค่ไม่กี่โรง”

LIPS: กระแส ‘โอห์ม & ฟลุ้ค’ แรงดีไม่มีแผ่ว ตั้งแต่ซีรีส์ด้ายแดง ต่อด้วยเลิฟ@นาย Oh! My Sunshine Night, 609 Bedtime Story และ Close Friend โคตรแฟน 2 แบบนี้มีผลต่อการรับงานในอนาคตไหม เช่น กลัวคนดูจะไม่อินกับคู่ใหม่ของเรา

ฟลุ้ค: ยอมรับว่ามีครับ ด้วยความที่เป็นซีรีส์วาย คนติดภาพว่าเราต้องจิ้นกับคนนั้นคนนี้เท่านั้น ตั้งแต่ ‘พี่ชาย My Bromance’ ก็เป็นคู่ฟลุ้คเล็ก & ฟลุคใหญ่ (ธีรภัทร โลหนันทน์ – พระเอก) พอหมดกระแสภาพยนตร์ ต่างคนต่างไปเติบโต ฟลุคใหญ่เขาก็ย้ายไปทำเบื้องหลัง แต่เรายังเดินสายเบื้องหน้า ยังเล่นซีรีส์วายอยู่

มาเจอกับโอห์ม (ฐิติวัฒน์ ฤทธิ์ประเสริฐ – พระเอก) ในด้ายแดง คนก็ประทับใจในคู่โอห์ม & ฟลุ้ค เล่นเรื่องต่อๆ มา คนก็ยังติดภาพว่าโอห์มต้องคู่กับฟลุ้ค แต่ในฐานะที่เราเป็นนักแสดง ฟลุ้คคิดว่าเราสามารถร่วมงานกับใครก็ได้

เวลารับงาน ฟลุ้คจะดูทั้งตัวบท โปรดักชั่น แล้วก็นักแสดงที่เราเล่นด้วย มีซีรีส์วายหลายเรื่องติดต่อมาให้เล่น เราก็ต้องขอตัดสินใจนิดนึง ไม่ใช่ว่าฟลุ้คเรื่องเยอะนะ แต่เราอยากให้ผลงานที่ออกมามีคุณภาพ เพราะด้ายแดงทำมาตรฐานไว้ค่อนข้างสูงเลย

LIPS: ในฐานะที่แจ้งเกิดจาก ‘บอยเลิฟ’ และยังคงโลดแล่นในวงการนี้ โดยส่วนตัวมองเห็นพัฒนาการของคอนเทนต์แนวนี้อย่างไรบ้าง

ฟลุ้ค: รู้สึกว่าตอนนี้เปิดกว้างและพัฒนาไปเยอะมาก ทั้งในเรื่องโปรดักชันและนักแสดง เราเองก็ได้พัฒนาไปกับวงการด้วย ฟลุ้คพยายามพัฒนาตัวเองเรื่อยๆ ต้องอัปสกิลตลอดเพื่อไม่ให้ตกเทรนด์

สมัยที่ฟลุ้คเล่นพี่ชายฯ ตอนนั้นหนังวายเป็นที่นิยมในวงแคบกว่านี้เยอะ มีความเฉพาะกลุ่มมากๆ การฉายก็จำกัดแค่ไม่กี่โรง แต่หลังจากนั้น ถ้าจำไม่ผิดก็น่าจะเป็นเรื่อง ‘Love Sick The Series – รักวุ่น วัยรุ่นแสบ’ ที่ทำให้ซีรีส์วายไทยบูมขึ้นมา รู้สึกว่าเป็นเรื่องแรกที่คนไทยชื่นชอบและเป็นกระแส เลยมีซีรีส์วายต่อเนื่องมาเรื่อยๆ

แม้แต่ผู้ใหญ่ทุกคนที่บ้านฟลุ้คก็ยอมรับแล้วนะ เมื่อก่อนเขาก็มีทักนิดนึงว่าเล่นบท ‘ผู้ชาย-ผู้ชาย’ อีกแล้วหรือ? แต่เดี๋ยวนี้ชิลมาก เพราะซีรีส์วายมีให้ดูเยอะทั้งฟรีทีวี แล้วก็ออนไลน์สตรีมมิ่ง พอเห็นบ่อยๆ เข้า เขาก็เริ่มชินว่า อ๋อ…โลกเป็นแบบนี้แล้ว

เพลง Make a Wish – Fluke Natouch [Ost. ภารกิจนายเทวดา Make a Wish The series]

LIPS: นักแสดงวายมีไฟต์บังคับหรือเปล่าว่า ต้องร้องเพลงประกอบหนัง/ซีรีส์เอง เห็นฟลุ้คร้องอยู่หลายเรื่อง ติดเทรนด์อันดับ 1 ก็มี อย่างเพลง ‘ดวงดาวบนฟ้า’ จากหนังอมตะพันธุ์สยองด้วย ระหว่างสัมภาษณ์ก็รู้สึกว่าน้ำเสียงฟลุ้คไพเราะนะ

ฟลุ้ค: ไม่ๆๆ (เขิน) เรารู้ตัวเองว่าไม่ได้ร้องดีร้องเพราะถึงขั้นเป็นนักร้อง แต่ด้วยความที่ชอบร้องเพลงเลยตัดสินใจไปเรียนร้องเพลง ไปพัฒนาความมั่นใจเวลาเราอยู่บนเวที ฟลุ้คว่าเป็นอีกหนึ่งสกิลที่นักแสดงในปัจจุบันคงจะต้องมีแหละ โดยเฉพาะนักแสดงวาย ทุกงานเลยนะที่มีนักแสดงวาย ไม่ว่าอีเวนต์หรือแฟนมีต ยังไงก็ต้องร้องเพลง พอได้เรียนจริงจังก็สนุกดีนะ ฟลุ้คเรียนสัปดาห์ละครั้งมา 2 – 3 ปีแล้ว มีโอกาสได้ออกซิงเกิลเดี่ยวของตัวเองด้วย ชื่อเพลง ‘เก็บ’ ถือเป็นความภาคภูมิใจเลย เพราะเราได้มีส่วนร่วมในทุกๆ อย่าง ทั้งช่วยแต่งเพลง คิดสตอรี ออกแบบเอ็มวี ฯลฯ

LIPS: เนื้อหามาจากประสบการณ์ตรงเลยหรือเปล่า

ฟลุ้ค: เราอาจจะยังไม่มีประสบการณ์ตรงขนาดนั้น แต่ฟลุ้ครู้สึกว่าประเด็นเกี่ยวกับความรักน่าจะเป็นเนื้อหาที่ทุกคนชอบฟังกัน เลยออกมาเป็นเพลง ‘เก็บ’ ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของการที่เราแอบชอบใครสักคนหนึ่ง แต่เพราะไม่กล้าบอกเขา เราก็เลยต้องเก็บเอาไว้

LIPS: แนวดราม่าเข้าทางเลย

ฟลุ้ค: ใช่ ฟลุ้คชอบฟังแนวอกหักอยู่แล้ว ไม่ค่อยฟังเพลงเต้นเท่าไร ทีแรกเขาก็นำเสนอเพลงฟีลกู๊ดน่ารักสดใส (ยิ้ม) แต่รู้สึกว่าไปทางเศร้าเราน่าจะถนัดกว่า ส่วนเรื่องเต้นต้องยอมรับว่าเป็นสกิลที่ฟลุ้คไม่ถนัด นี่ก็กำลังจะมีงานแฟนมีตเดี่ยวครั้งแรก I’M FLUKE : ONE MOMENT IN TIME 1ST FAN MEETING วันที่ 11 พฤศจิกายนนี้ เราก็ต้องไปเรียนเต้นหนักๆ เลย

“เราฝึกร้องเพลงเพื่อพัฒนาความมั่นใจเวลาอยู่บนเวที ฟลุ้คว่าเป็นอีกหนึ่งสกิลที่นักแสดงในปัจจุบันคงจะต้องมี โดยเฉพาะนักแสดงวาย”

LIPS: ทำไมเลือกจัดแฟนมีตเดี่ยวครั้งแรกในวันคนโสด 11.11

ฟลุ้ค: พี่โน้ต (ผู้จัดการส่วนตัว) มองว่าน่าจะเป็นวันดีครับ พอติดต่อโรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศไป เขาก็ว่างให้จัดงานพอดี เราเลยรีบจอง เพราะ 11.11 เป็นวันที่ค่อนข้างฮิต

LIPS: วันงานให้เวลากับเหล่าไขมันเจ้าแก้มก้อน (แฟนด้อม) ฉ่ำๆ เลยมั้ย

ฟลุ้ค: 3 – 4 ชั่วโมงเลยครับ คือแสดงโชว์ 2 ชั่วโมง แล้วก็แฟนเบเนฟิต เช่น ไฮทัช ไซน์ โฟโตกรุ๊ป ฯลฯ อีก 1 – 2 ชั่วโมง ไม่เชิงว่าเป็นคอนเสิร์ต เพราะเราจะมีการทำกิจกรรมร่วมกับแฟนๆ ด้วย เพื่อเป็นการขอบคุณที่ทุกคนคอยติดตามและซัพพอร์ตฟลุ้คมาตลอด

LIPS: ได้ยินมาว่านักแสดงวายส่วนใหญ่จะใกล้ชิดกับแฟนคลับมากๆ ล่าสุดของฟลุ้คเห็นมีไปช่วยโรงเรียนที่ต่างจังหวัดด้วย

ฟลุ้ค: ใช่ครับ ทำต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 แล้ว แฟนๆ อยากทำโครงการดีๆ เป็นโปรเจกต์วันเกิดของเรา ปีที่แล้วเลยสมทบทุนกันสร้างอาคารเรียนที่จังหวัดสระบุรี ปีนี้เราทำห้องเรียน ส่วนหนึ่งเพราะฟลุ้คอยากเป็นครู แต่ยังไม่เคยได้ลองสอน เลยอยากช่วยส่งเสริมอะไรที่เกี่ยวกับการศึกษาทั้งหมด

LIPS: ความคิดตั้งต้นที่อยากเป็นครูมาจากไหน

ฟลุ้ค: อาจจะด้วยความที่เราเติบโตมาในครอบครัวครูมั้งครับ คุณปู่แล้วก็คนในตระกูลประกอบอาชีพครูเป็นหลัก ตอนเด็กๆ เราชอบเล่นบทบาทสมมติเป็นครู พอใครถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร เราก็ตอบไปว่าอยากเป็นครู แต่จริงๆ ยังไม่ได้รู้สึกลึกลงไปถึงตัวตนขนาดนั้น ตอนมัธยมก็คิดว่าตัวเองไม่ได้เรียนเก่งถึงขนาดจะไปสอนใครได้

มาเริ่มรู้สึกอยากเป็นครูสอนหนังสือจริงๆ ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ฟลุ้คเรียนจบคณะศิลปศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ เราได้เรียนในสิ่งที่ชอบ ได้เรียนกับอาจารย์ที่น่ารักและเข้าใจเด็ก เราเรียนแล้วมีความสุขครับ เลยอยากที่จะลองเป็นครูสอนภาษาดูบ้าง

LIPS: นอกจากการแสดง การร้องเพลง ธุรกิจร้านกาแฟ มีอะไรที่กำลังให้ความสนใจหรือกำลังฝึกฝนอยู่อีก

ฟลุ้ค: จริงๆ ฟลุ้คเริ่มเรียนเปียโนควบคู่กับเรียนร้องเพลง สัปดาห์หนึ่งต้องเรียนร้องเพลง 1 ชั่วโมง เปียโน 1 ชั่วโมง เราชอบแนวคลาสสิคอย่างศิลปินเกาหลีที่ชื่อ YIRUMA เพลงดังของเขาที่ทุกคนน่าจะหาฟังกันได้ก็เช่น River Flows in You กับ Kiss the Rain 

LIPS: กาแฟแก้วโปรดที่สั่งเป็นประจำ ในฐานะเป็นคอฟฟี่พรินซ์เจ้าของร้าน The Little White House Café 

ฟลุ้ค: ถ้าวันไหนฟลุ้คดื่ม 2 แก้ว แก้วแรกจะเป็นคาปูชิโน่ แก้วต่อมาจะเป็นกาแฟส้มครับ

Location: The Little White House Café
Words: Sasi Akkomee
Photo: Somkiat Kangsdalwirun
Style: Nawarat Pestonji
Makeup: Panapob Siripongthon
Hair: Tanapon Saetang
เครื่องแต่งกาย: LEELA
เครื่องประดับ: SWAN

Related Articles

เว็บไซต์ของเราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้ เราได้อธิบายความหมายและวิธีการใช้คุกกี้ของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถเข้าใจแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือการเปิดเผย รวมถึงทางเลือกในการใช้คุกกี้ของเรา อ่านเพิ่มเติม