Search
Close this search box.
Search
Close this search box.
HOME / Interview / People

ของบิวตี้ชิ้นแรก และคุยเรื่องความงามตามแบบฉบับ ซานิ นิภาภรณ์

Interview / People

การได้สนทนาภาษาบิวตี้กับ ซานิ-นิภาภรณ์ ฐิติธนการ ใน Beauty First Touch ครั้งนี้ ดูเหมือนว่าจะทำให้ทุกอย่างออกรสชาติทั้งเปรี้ยว เผ็ด และจัดจ้านกว่าที่เคย (แต่ก็แอบซ่อนความหวานไว้ลงตัว) เพราะไม่ใช่แค่การไล่เลียงของบิวตี้ชิ้นแรก แต่เธอจะมา บอกเส้นทางความสวย ตามแบบฉบับของซานิ ที่จริงใจและตรงไปตรงมา

ลิปส์ : เราอยากให้ซานิลองย้อนไปสมัยเด็กว่าของบิวตี้ชิ้นแรกที่หยิบมาใช้คืออะไร 
ซานิ : ของบิวตี้ชิ้นแรกที่ซานิจับคงจะเป็นยาโกรกผมมั้ง เป็นสีกัดผม เพราะว่าตอนเด็กๆ      ความใฝ่ฝันของเราเป็นเรื่องทำผมล้วนๆ ชอบตัดผมเอง ทุกวันนี้ก็ตัดผมเอง ทำสีเอง ทุกอย่าง เวลาเปลี่ยนทรงผมเรารู้สึกว่าคาแร็กเตอร์  เราก็เปลี่ยนไปในทางนั้น เรารู้สึกว่ามันเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับการเปลี่ยนแปลงของคนคนหนึ่ง มันเป็นความชอบของเรา เราฝันอยากเป็นช่างตัดผมตั้งแต่เด็ก เพราะฉะนั้นของบิวตี้ชิ้นแรกมันเลยไม่ใช่พวกลิปสติก มาสคาร่า ที่เขียนคิ้ว แต่กลับเป็นพวกยากัดผม สีกัดผมที่เป็นสีๆ 

ลิปส์ : เริ่มต้นเมื่อไร เพราะอะไร 
ซานิ : น่าจะอายุ 12-13 ปีมั้งคะ เริ่มจากดูแฟชั่นเมืองนอก ชอบดู​ MV เพลงเมืองนอก เฮ้ย… ทำไมเขามีปอย (ผม) สี ทำไมเขามีอันนี้ เห็นแล้วรู้สึกมันดูเท่ ดูทันสมัย ณ ตอนนี้คนก็ยังฮิตที่จะทำสีผมอยู่เลย ตอนนั้นไปขลุกตัวอยู่ตามร้านทำผม ไปดูช่างรุ่นแม่ๆ ป้าๆ เลยนะ ไปนั่งดูว่าเขาทำอย่างไร เขาทำสีผมแบบนี้ต้องใช้อะไรบ้าง มีวิธีการทำเป็นอย่างไร 
     ช่วงปิดเทอม ซานิเคยตัดผมหน้าม้าครึ่งหนึ่งสีทอง บลอนด์ อีกครึ่งหนึ่งดำตั้งแต่สมัยเด็กๆ เลย แล้วพอตอนนี้เห็นน้องๆ เขาทำสีผมครึ่งหัว เรานึกถึงตอนเด็กๆ เลย ว่ามันเป็นทรงแรกที่เราเปลี่ยนสีผมครึ่งหัวให้ตัวเอง

ลิปส์ : ทุกวันนี้ยังทำผมตัวเองไหม
ซานิ : เมื่อก่อนเพื่อนก็ถามว่าไปเรียนมาจากไหน แต่มันเหมือนเป็นความชอบมากกว่า พอเราดูเขาปุ๊บเราทำได้เลย พอมาตัดผมตัวเอง ซอยผมตัวเอง คือทำทุกอย่างด้วยตัวเองจนถึงทุกวันนี้ สังเกตได้เลยว่าซานิเป็นคนไม่ค่อยเข้าร้านทำผมเท่าไร (ig: zanizina) ส่วนใหญ่ทำเอง ทำสีเอง ยกเว้นเวลาทำสปาผมถึงจะเข้าร้าน 

ลิปส์ : ปัญหาเรื่องผม และระเบียบของโรงเรียน
ซานิ : ไม่เคยโดนเรื่องผิดระเบียบ เพราะว่าเราเน้นทำช่วงปิดเทอม แต่เราชอบซอยผมมาก ซอยให้เพื่อนที่โรงเรียนจนโดนครูฝ่ายปกครองถาม เพื่อนว่าใครตัดผมให้ ไปตัดร้านไหน เธอต้องไปตัดคืน เพราะสมัยนั้นเขาถือมาก ห้ามซอยผม แต่ทรงผมนักเรียนสมัยนั้นคือผมสั้น ซึ่งเราจะชอบซอยบางๆ ข้างใน ไม่ให้ผมเป็ด (ผมเด้ง) เพื่อนๆ ชอบมาหาเราตอนพักเที่ยงให้เราตัดผม เพราะรู้ว่าตัดผมได้ จนเราโดนทัณฑ์บน โรงเรียนมีกฎห้ามโดนทัณฑ์บนเกิน 3 ครั้ง ครั้งที่ 4 คือจะโดนไล่ออก เราโดนครั้งที่ 3 แล้ว จนแม่ขอให้พอ เราก็เลยรู้สึกว่าต้องหยุดแล้ว

ลิปส์ : แบบนี้เรียกว่าคลั่งไคล้หรือเปล่า
ซานิ : คือต้องบอกว่าก่อนประกวด AF อาชีพที่เราอยากทำชื่อช่างทำผม (อะไรทำให้เลือกมาเป็นนักร้องเต็มตัว) เกิดจากก่อนหน้าจะมาประกวด AF เราก็เคยประกวดอีกเวทีหนึ่ง ซึ่งเราชนะ เลยคาบเกี่ยวกันให้เราคิดว่าจะเอายังไงต่อดี ระหว่างนั้นก็ร้องเพลงในผับไปด้วย ก็คิดว่าทำไปก่อน เบื่อแล้วค่อยเปลี่ยนไปเป็นช่างทำผม แล้วประจวบกับว่าประกวด AF จนสุดท้ายเราก็ได้แชมป์ (ซานิคือแชมป์ AF คนแรกที่เป็นผู้หญิงในการประกวด ซีซั่นที่ 6) ก็เลยทิ้งความฝันการเป็นช่างทำผม

ลิปส์ : เรื่องความสวยความงามอื่นๆ เริ่มตามมาอย่างไร 
ซานิ : ความจริงซานิเป็นคนไม่ดูแลตัวเองเลยตั้งแต่เด็กแล้ว ครีมกันแดด แต่งหน้า หรือเครื่องประทินผิวไม่เคยได้ลงบนหน้า เพราะเมื่อก่อนเราเป็นคนชอบทำกิจกรรมพวก adventure ทุกอย่าง เล่นกีฬา ทุกอย่าง เตะบอล มีแต่เพื่อนผู้ชาย ว่ายน้ำ แต่งหน้าไม่ได้อยู่แล้ว
     พอวันหนึ่งโตขึ้นมาปุ๊บ ประกวด AF คาแร็กเตอร์ช่วงนั้นโดนตัดผมสั้น เป็นลุคเท่ๆ แมนๆ คนจะติดตาว่าซานิต้องติดขนตาปลอม ในช่วงนั้น คือเราต้องติดขนตาปลอมและบล็อคตาดำ เริ่มติด เพราะเราชอบความพังก์ร็อค เครื่องประดับก็เป็นหมุดเหล็ก ยุคนั้นเราคลั่งดนตรีหลายแบบ ฮิปฮอป พังก์ร็อค อัลเทอร์เนทีฟร็อค มิวสิคมันมาพร้อมแฟชั่นด้วย การแต่งหน้ามันก็ตามมา และเริ่มด้วยการบล็อคตาดำ เริ่มเขียนอายไลเนอร์อันไหนใช้แล้วติดทนตลอดวัน เริ่มจากอะไรแบบนี้

ลิปส์ : การดูแลตัวเอง และสวยขึ้น 
ซานิ : ต้องบอกว่าเกิดจากการบูลลี่ (bully) ค่ะ เราคิดว่าเราร้องเพลง ใช้ความสามารถมาตลอดชีวิต เรารู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องทำอะไรกับใบหน้าหรือดูแลตัวเองอะไรมากมายให้ตัวเองสวย ต้องใช้คำว่า “ถูกมองข้าม” ที่จะถูกเรียกไปใช้งาน จากการไม่ดูแลตัวเอง เราต้องเริ่มกลับมาดูแลตัวเอง ณ ปัจจุบัน แค่ความสามารถที่มีอาจไม่พอแล้ว อาจจะต้องมีองค์ประกอบอื่นๆ เช่น ดูแลตัวเองมากขึ้น หรือทุกอย่างที่ออกทีวี มันต้องโชว์หน้า เพราะฉะนั้นเราคงต้องให้เกียรติมากขึ้นไหม ให้เกียรติอาชีพเรามากขึ้น นั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้เราเริ่มดูแลตัวเอง เริ่มทำสวย เริ่มเห็นว่าอันไหนเราควรทำไม่ควรทำ เรารู้สึกว่าไม่จริงหรอกที่คนบอกว่าภายนอกไม่สำคัญ ณ วันนี้ใช้คำนี้ไม่ได้แล้ว ภายนอกโคตรสำคัญ 

ลิปส์ : คำพูดที่รู้สึกว่ากำลังถูก bully มากที่สุดสมัยก่อนคืออะไร 
ซานิ : แต่ก่อนจะมีคำว่า “กะเทยหัวโปก” แต่เราโดนคำว่า “ทอมหัวโปก” เพราะช่วงออกจากบ้าน AF ใหม่ๆ เราผมสั้น เราตัวอวบ น้ำหนักประมาณ 60 ได้ ด้วยความที่เขาเลี้ยงดี และตอนอยู่ในบ้านเรากินตลอด ตี 2 เรายังกินอยู่เลย ไม่ได้สังเกตตัวเองหรอก เราชิน พอออกจากบ้านถึงรู้ว่า เฮ้ย… เราตัวพองมาก คนเริ่มพิมพ์ด่าว่า “อีนี่ไม่ดูแลตัวเองเลย” ความจริงเราไม่ซีเรียสเรื่องเพศเลย เราเป็นมาหมดแล้ว LGBTQ ทุกวันนี้เราเรียกตัวเองว่า Queer คือไม่มองเรื่องเพศเป็นหลักแล้ว ข้ามเรื่องเพศไปเลย แต่กลับโดนเรื่องหน้าตา เรารู้สึกว่าทำไมวะ แค่คาแร็กเตอร์แบบนี้เหรอ แค่ทรงผมแบบนี้เหรอ คุณไม่เคยมองข้างในเราเลยเหรอว่าเราเป็นคนแบบไหน ไม่เคยเข้ามาคุยกับเราเลย

ลิปส์ : จริงไหมที่เขาบอกว่าเวลาออกทีวี แล้วเราจะรู้สึกว่าขาดนั่นนิดนี่หน่อยอยู่ตลอด
ซานิ : มันเป็นเรื่องปกตินะซานิว่า เหมือนจับผิดตัวเอง เหมือนคนที่ดูกระจกนานๆ แล้วฉันขาดอะไรอยู่วะ ฉันไม่มีอะไรบ้าง แต่กล้องมันไม่เหมือนกระจกค่ะ กล้องเนี่ยบางทีมันทำให้เกินบ้าง ล้นบ้าง หายไปบ้าง มันก็ต้องแต่งต้องเติม มันมีส่วนและมีผลกับอาชีพนะ
     ข้อแรกเราก็ต้องยอมรับก่อนว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็แล้วแต่ เช่น เราไปขายสินค้าให้เขา ถ้าหน้าตาเราไม่ดูแล หุ่นเราไม่ดูแล เ องค์ประกอบทุกๆ อย่างค่ะ ต่อให้เขาจ้างเราไป เขาก้รู้สึกไม่คุ้มค่า เหมือนเราก็ให้เกียรติลูกค้านั่นล่ะ นั่นคือสิ่งที่เป็นประเด็นที่สุดเลย ซานิว่าดาราก็เป็นทุกคน อย่าว่าแต่ดารา ตอนนี้คนธรรมดาที่ชอบถ่ายรูป พอถ่ายรูปลง IG แล้วก็เหมือนฉันขาดตรงนี้เลย ซานิว่าเป็นเรื่องของมนุษย์ปุถุชน แต่ว่าไม่ได้รวมทั้งหมดนะคะ บางคนก็อาจจะพอดีพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ในสิ่งที่เขาสวยอยู่แล้ว ผู้หญิงทุกคนสวยตั้งแต่เกิด ถ้ามั่นใจ แต่อาจมีคนที่ไม่มั่นใจ ก็อาจอยากไปเพิ่มหน่อย มันเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่แค่ดาราหรอก ซานิว่าคนปกติก็เป็น

ลิปส์ : จากวันที่เริ่มรู้สึกว่าต้องเริ่มดูแล  ตัวเองแล้ว ซานิเริ่มจากอะไรก่อน  
ซานิ : เราหาจุดด้อยของตัวเองก่อนเลย จุดด้อยของเราคือเราไม่มีดั้ง เป็นจุดที่เราเห็นชัดที่สุดนะ สมัยที่ร้องเพลงกลางคืน มันอาจเป็นจุดที่คนอื่นๆ มองว่าไม่แย่ แต่เราเองเรารู้สึกว่ามันต้องมีนิดหนึ่ง เพราะเวลาเราออกกล้องมันหายหมด จริงๆ นะ ของบางอย่างเรามีอยู่แล้ว เวลาเจอกันปกติจะรู้สึกว่าไม่เห็นต้องทำเลย แต่พออยู่ในกล้องบางอย่างดูล้น เกิน บางอย่างดูไม่มี หรือหายไปเลย ยิ่งเวลาแฟนคลับถ่ายรูปเยอะๆ เราเริ่มเห็นมุมอื่นๆ มันมีมุมที่เห็นแล้วรู้สึกว่าไม่ได้เว้ยยย เริ่มจากทำจมูกก่อนเลย  

ลิปส์ : จากจมูกเป็นจุดเริ่มต้น เส้นทางความสวยอื่นๆ เป็นอย่างไรอีก
ซานิ : การผ่าตัดใหญ่ของซานิมีแค่จมูกเลย ก่อนหน้านี้มีโบท็อกซ์และฟิลเลอร์ มีเลเซอร์หน้า ตามปกติ มันค่อยๆ ดีขึ้น คือด้วยพื้นฐานซานิเป็นคนจีน ผิวขาวอยู่แล้ว ช่วงคล้ำก็จะแป๊บเดียว และกลับมาขาว เมื่อก่อนคนชอบทักว่าทำไมคล้ำจัง บางทีก็มาจากการแต่งหน้านะ อายไลเนอร์สีฟ้ามาเลย คือการแต่งหน้าเปลี่ยน แต่งตัวเปลี่ยน ทุกอย่างเปลี่ยน
     ซานิโตช้า หมายถึงเป็นสาวช้ากว่า เพื่อนผิวใสปิ๊งไปแล้ว พูดง่ายๆ ว่าเขาผลัดเซลล์ผิวไปนานแล้ว แต่ดิฉันยังไม่ลอกคราบ แม่ชอบพูดว่าเหมือนเด็กยังไม่โต ยังมอมแมมอยู่ จน 28-29 แล้ว คนเพิ่งมาทักว่าน้องโตเป็นสาวแล้วนะ ดูเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล

ลิปส์ : เรื่องความอวบที่เคยโดนทักบ่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปมากเช่นกัน 
ซานิ : หลังออกจากบ้าน จะมีข่าวว่าซานิผอมแล้วหน้าเปลี่ยนใช่ไหม คืออย่างนี้ค่ะ คนที่อ่านก็ไม่ได้จับใจความ ตอนนั้นซานิป่วย เป็นกรดไหลย้อน เพราะเราเลิกงานดึก กินดึก จนเริ่มท้องอืด อาการเริ่มแย่ กินข้าวแล้วอยากอาเจียนตลอดเวลา จนหมอบอกว่าเป็นกรดไหลย้อน ช่วงนั้นกินอะไรไม่ได้เลย กินแล้วก็อาเจียนออกมาหมด ไม่อยากกิน เบื่ออาหาร นอนไม่ได้ เริ่มโทรม พอเราให้สัมภาษณ์ไป หลังออกจากบ้าน AF หนัก 60 กว่า อยู่ดีๆ ฟุ่บลงมาผอม คนอ่านก็จับประเด็นว่าหน้าเปลี่ยนเพราะมึงเป็นกรดไหลย้อน กรดไหลย้อนทำให้หน้ามึงเปลี่ยน คนก็บูลลี่เราเรื่องการตอบคำถามเพิ่มไปอีก ซานิอ่านแล้วรู้สึกว่าอ่านให้ครบก่อนไหมอะ ครบบรรทัดยัง (เน้นเสียง) แต่เราก็คิดว่าไม่เป็นไร ใครจะพูดอะไรไม่เป็นไร เรากลับมาเริ่มดูแลสุขภาพ จนก่อนหน้านี้กลับมาอ้วนอีกหนัก 61 ซึ่งซานิช่วงบนเล็กช่วงล่างใหญ่ พอแต่งตัวดีๆ แล้วคนดูไม่ออกว่าอ้วน แต่เริ่มรู้สึกว่าหนักเกินไป ไม่ดูแลตัวเองไปรึเปล่า เลยปรึกษาหมอ ปรีกษาเทรนเนอร์ช่วยดูแลเรา เขาจะอธิบายว่าต้องทำแบบนี้ ต้องกินแบบนี้ อันนี้ไม่ควรกิน ปรับเปลี่ยนนิสัยของตัวเอง จริงๆ ก็เพื่อสุขภาพตัวเองด้วย คนเราเวลาอ้วนมากๆ ก็เกิดโรค เหนื่อยง่าย เวลาขึ้นเวทีร้อง 2 เพลงก็หอบแล้ว แล้วมันตรงกับช่วงเวลาที่หยุดล็อคดาวน์พอดี ไอ้ช่วงเวลานี้แหละที่ฉันจะเปลี่ยนตัวเอง รีโนเวทตัวเองใหม่ และก็เกิดเพราะเรามีธุรกิจเสื้อผ้านั่นแหละ (ig: thankgoditsfashday) ที่จะไปหานางแบบที่ไหนมาถ่ายในช่วงโควิด ก็ต้องใช้ตัวเองนี่แหละ มันเป็นเรื่องประจวบเหมาะค่ะ เลยเป็นการดูแลตัวเองเพิ่มขึ้นอีก จนน้ำหนักลดลง ประกอบกับก่อนหน้านั้นแก้จมูกใหม่อีกครั้งด้วย ทุกอย่างเลยเปลี่ยนหมด คนก็ฮือฮาว่าทำอะไรมาวะ?

ลิปส์ : แก้จมูกใหม่? 
ซานิ : เป็นธรรมดาของการศัลยกรรมจมูก หลังจากที่เราทำมาหลายปีมาก พังผืดมันจะรัดแกนจมูกให้เล็กลง ความจริงซานิไม่อยากแก้ การทำอะไรกับใบหน้าเนี่ยมันเกี่ยวกับโหงวเฮ้งด้วย จนเราเกิดอุบัติเหตุตอนถ่ายละคร แล้วโดนกระแทก แล้วเจ็บ กลับมาบ้านก็ยังเจ็บ แล้วก็มีโรงพยาบาลที่เกาหลีติดต่อมาว่าสนใจไหม ความจริงมีหลายโรงพยาบาลติดต่อมา แต่ก็ปฏิเสธไปหลายโรงพยาบาลมาก สุดท้ายเราเจ็บจริงๆ จะทำอย่างไรดี
แต่ความจริงครั้งแรกที่ไปโรงพยาบาลซานิยังไม่ได้คิดเรื่องจมูกนะ เราปรึกษาเรื่องอยากให้รูปหน้าเราชัดขึ้น เพราะเรามีเหนียง แต่คุณหมอที่เกาหลีพูดคำแรกเลยว่าสิ่งที่ยูต้องทำคือจมูก ก็พอดีเลย ความจริงตอนแรกความมั่นใจเป็นศูนย์เลยนะ ก็คิดแล้วคิดอีก จนตัดสินใจว่า “แก้”

ลิปส์ : ทุกวันนี้พอใจกับรูปร่างหน้าตาของตัวเองหรือยัง
ซานิ : เอาตรงๆ ถามว่าไปได้อีกไหม ก็ไปได้ แต่ทุกคนบอกว่า “พักก่อน” ทุกคนบอกว่าดีแล้วนะ ทั้งเพื่อนสนิท หรือคุณโอ๊ต-ปราโมทย์ (ที่ทำรายการคู่กัน “จีบหนูหน่อย หนูอ่อยไม่เป็น” ทาง YouTube) จะบอกว่า “มึงโอเคแล้ว” เราฟังแล้วก็… แฮปปี้แล้ว ยิ่งเพจต่างๆ เอาข่าวความเปลี่ยนแปลงนี้ไปลง พอเราไปไล่อ่านคอมเม้นต์ก็มาในแบบที่ดี  งั้นมันน่าจะโอเคแล้ว

ลิปส์ : จากเด็กสาวที่ไม่ดูแลตัวเอง จนวันนี้สวยสะพรั่ง ซานิดูแลตัวเองอย่างไร 
ซานิ : การดูแลตัวเองของซานิ มันมีหลายอย่างที่แนะนำเลย อย่างวิตามินซีทานไปเลยทุกวัน เพราะมันไม่ตกค้าง มันขับออกได้ตามธรรมชาติ ทานแบบที่เขาจัดมาให้เป็นเม็ดไปเลย เพราะว่าเราไม่สามารถหาวิตามินซีทานได้ครบทุกอย่างในหนึ่งวัน ทานน้ำเยอะๆ ด้วย และระหว่างนี้ก็ลองผลิตภัณฑ์ของตัวเองอยู่ด้วย จะเป็นธุรกิจใหม่เร็วๆ นี้ นอกจากนี้เรื่องรักษาผิวก็ต้องครีมกันแดด อยู่กลางแดดนานๆ ต้องรู้ว่าต้องทา แดดประเทศไทยไม่ใช่แดดเมืองนอก ที่ทำให้ฉันผิวแทน เพราะว่าดำก็คือดำเลย และยังจะมีอีกหลายปัญหาเกี่ยวกับผิวหน้าตามมา ฝ้า กระ อาจจะต้องหลีกเลี่ยงแดด มันเป็นเรื่องเบื้องต้นที่ซานิว่าทุกคนรู้อยู่แล้ว ที่เสริมมาก็เรื่องปกติทั่วไป เข้าคลินิกดูแลหน้าบ้าง เลเซอร์หน้าใส ลงวิตามิน มาสก์หน้า  

ลิปส์ : ที่บอกว่าเป็นสาวช้า จริงๆ แล้วตอนนี้อายุเท่าไรแล้ว และรู้สึกอย่างไรเมื่อกลับมาดูแลตัวเอง 
ซานิ : อายุ 35 ปีแล้วค่ะ ตอนแรกเวลาเปิดตู้เสื้อผ้า ก็คิดว่าเสื้อผ้าพวกนี้ยังใส่ได้อยู่ไหมวะ 35 แล้วนะ แต่ถ้าเราดูแลตัวเองดีจริงๆ ซานิว่าเรื่องของอายุไม่เป็นผลเลย มันอยู่ที่ว่าใจเรายังวัยรุ่นอยู่ไหม ยังดูแลตัวเองดีไหม ซานิว่าเราดูแลตัวเองดี คำตอบมันจะออกมา เช่น คนถามอายุพี่นิ พอเราบอกว่า 35 เด็กก็จะ “35 แล้วเหรอ??” เออ 35 จริงๆ ไม่โกหก ไม่ตอแหลด้วย เรารู้สึกว่าถ้าทำแล้วเด็กว้าว “พี่กินอะไร พี่ทำอะไร” เราก็แฮปปี้นะ แต่ซานิว่าสุดท้ายแล้วมันไม่ใช่แค่เครื่องประทินผิวนะ มันคือความสุขเล็กน้อยในแต่ละวันของเรา เราอาจป่วยหรือมีทุกข์บ้าง แต่สุดท้ายพอเราเจอคนอื่น เจอเพื่อน เจอสังคมเราเป็นคนที่อยากให้ความสุขคนอื่น พอเราให้ความสุขคนอื่นได้ อันนี้มันสำคัญ มันก็ยิ่งทำให้เรารู้จักตัวเอง เราก็อยากให้ความสุขกลับคืนมาหาตัวเองด้วย มีเวลาก็เข้าคลินิกสักหน่อย ทำสวยหน่อย

ลิปส์ : เป็นหนึ่งในผู้หญิงที่ผ่านมาเยอะเรื่องคำพูดในแง่ร้าย อยากให้กำลังใจสาวๆ ทั่วไปเรื่องความสวยอย่างไรได้บ้าง
ซานิ : ผู้หญิงสวยทุกคนนะเหมือนที่ซานิบอก อยู่ที่ว่ามั่นใจหรือไม่มั่นใจ ใครจะด่าอย่างไร ใครจะบูลลี่อย่างไร ซานิเชื่อว่าเรารู้ และคนที่เห็นว่าเราสวยที่สุดคือพ่อแม่นะ ลูกสวยแล้ว ลูกดีแล้ว บางคนก็คิดแบบที่ซานิ บอกว่าภายนอกโคตรสำคัญ แต่ความจริงภายในก็สำคัญนะ ถ้าภายในไม่ดี ภายนอกก็โคตรจะไม่สำคัญเลย

ลิปส์ : ซานิฝากร้าน
ซานิ : ตอนนี้นะคะมีถ่ายละครอยู่ 3 เรื่องนะคะ มีช่อง 3 ช่อง 8 ช่อง 7 และมีเพลงกับคุณสงกรานต์ (The Voice) ซึ่งมาเป็นโปรดิวเซอร์ ชื่อเพลง ‘นี่แหละฉัน’ ที่ซานิออกมาทำเอง ก็มาอยู่ในช่องยูทูป ของตัวเอง มีรายการ ‘ถ่ายไปเรื่อย’ เป็นไลฟ์สไตล์ของซานิค่ะ ทั้งหมดจะมีบอกเรื่องความสวยความงามมั่ง มี cover เพลงบ้าง มีคุยเล่นกับเพื่อนในกองหรืออะไรอย่างนี้ และมีรายการกับ โอ๊ต -ปราโมทย์ ก็คือ ‘จีบหนูหน่อย หนูอ่อยไม่เป็น’ รายการที่ 18+ นะคะ  เด็กๆ ก็ดูได้ แต่ดูแล้วก็พิจารณานิดนึงอะไรควรอะไรไม่ควรนะลูก หยอกๆ ไป แล้วนอกนั้นก็น่าจะเป็นรายการ ‘ต้มยำอมรินทร์’ มีรายการที่เป็นพิธีกร เดี๋ยวก็จะมีเพิ่มๆ เข้ามาอีก เร็วๆ นี้น่าจะได้ดูภาพยนตร์ เป็นหนังเลยค่ะ เรื่องแรกยังบอกไม่ได้ แต่เดี๋ยวได้ดูแน่นอน

Photography : SOMKIAT K.

Related Articles

เว็บไซต์ของเราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้ เราได้อธิบายความหมายและวิธีการใช้คุกกี้ของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถเข้าใจแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือการเปิดเผย รวมถึงทางเลือกในการใช้คุกกี้ของเรา อ่านเพิ่มเติม