Search
Close this search box.
Search
Close this search box.
HOME / Interview / People

6 ปีแรกที่แพ้ และ 4 ปีหลังที่กลายเป็นแบรนด์ที่โลกจำชื่อ ‘Three Man Down’

Interview / People

Three Man Down ย่างเข้าปีที่ 11 ด้วยการจุติไปเกิดใหม่พร้อมสกิลเต็มสูบ ไอเท็มครบชุดพร้อมฝ่าด่านที่ยากขึ้น และบอสที่เก่งกล้ากว่าเดิม รอลุ้นเกมเควสต์ที่ชื่อ Three Man Down Live At Impact Arena 2023 คอนเสิร์ตเดี่ยว ใหญ่ ตึงที่สุดของกิต เต ตูน เส็ง

“เอาจริงๆ เราไม่ได้รู้สึกว่าเราอยู่มา 10 ปีแล้วนะ” ตูน–พีรพล เอี่ยมจำรัส มือกีตาร์และนักแต่งเพลงของวงเอ่ยในช่วงท้ายของการสัมภาษณ์

นั่นทำให้เราย้อนกลับไปมอง 10 ปีที่ผ่านมาของตูนและผองเพื่อน อันได้แก่ กิต–กฤตย์ จีรพัฒนานุวงศ์ (นักร้องนำ), , เต–เตธนันท์ วงศ์ปรีชาโชค (กลอง) และ เส็ง–วิศรุต ปฐมสิริไพศาล (ซินธิไซเซอร์) เพื่อนต่างกลุ่มที่ตั้งวงดนตรีด้วยกันในชื่อ Three Man Down

พวกเขาเดินสายประกวดและเป็นผู้แพ้มืออาชีพ เวทีไหนเวทีนั้นเล่นเพลงคัฟเวอร์ของศิลปินอื่น ไม่เคยมีเพลงของตัวเอง และเมื่อทำเพลงตัวเอง ชีวิตก็ไม่ง่าย เมื่อมันไม่ถูกโอบรับจากคนฟังดังที่หวัง จนต้องรอถึงเพลงที่ 6 คือ ‘ข้างกัน’ ที่เริ่มติดหูและถูกแชร์มากมาย จนพา Three Man Down ไปคว้ารางวัลขวัญใจผู้ชม Popular Vote ในการแข่งขัน Band Lab และได้เข้าสังกัด Gene Lab ในที่สุด

พวกเขาปล่อยเพลงออกมารัวๆ แทบจะเดือนเว้นเดือน แต่ล้วนไม่มีเพลงดังจนเกรงใจเจ้าของค่าย พวกเขาถอดใจกับการทำเพลงดัง แล้วกลับไปทำเพลงสนุก ครั้นแล้ว ‘ฝนตกไหม’ กลายเป็นเพลงอันดับ 1 เพลงแรกของวงบนชาร์ตของ Spotify ตามมาด้วยเพลงดังอีกเพลง ‘ฝันถึงแฟนก่อน’ ก่อนจะมาถึงคิว ‘ถ้าเธอรักฉันจริง’ ที่นอกจากทำให้วลี ‘หวัดดี เบล’ เป็นมีมฮิตระดับชาติ มาสเตอร์พีซเพลงนี้ยังทำให้ Three Man Down เป็นวงขวัญใจมหาชนมาจนทุกวันนี้ได้

ในช่วงที่เป็นกระแสสุดพีค พวกเขาปล่อยผ่านโอกาสที่จะมีคอนเสิร์ตใหญ่ของวง จวบจนปล่อยอัลบั้มใหม่ ‘28’ ที่แฟนเพลงชมกันอื้ออึงว่าเติบโตทางดนตรีไปมาก พวกเขาก็ประกาศข่าวดีว่าวงจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรก สมใจทั้งคนเล่น คนฟัง ในวันที่ 19 สิงหาคมนี้กับ Three Man Down Live At Impact Arena 2023

“ในอัลบั้มแรก เราเปลี่ยนจากคนธรรมดาเป็นนักร้อง พอมาอัลบั้มนี้เราเปลี่ยนจากนักร้องไปเป็นนักร้องที่มีคอนเสิร์ตใหญ่”

LIPS: ปีนี้อายุ 10 ขวบกันแล้ว มีวันตกฟากไหม

เส็ง: วันที่ 7 สิงหาคม 2013 มันอยู่ในยูทูบครับ

กิต: เรานับเพลงที่ปล่อยเพลงแรกเป็นวันเกิดของ Three Man Down ตอนนั้นยังถามกันอยู่เลยว่า สรุปว่าชื่อวง เอาชื่อ ‘Three Man Down’ ใช่ไหม (หัวเราะ) นึกภาพคนทำงานที่กำลังเรนเดอร์ไฟล์นะครับ ก็ต้องถามคุณลูกค้าก่อนว่าชื่อนี้เคาะแล้วหรือยังครับ ผมจำได้เลย

ตูน: คำว่า Man Down เป็นชื่อฟอนต์หนึ่งในโฟโต้ช็อป แต่เป็นฟอนต์ดราฟต์ เราไม่ได้เอามาใช้

เต: และแฟนๆเป็นคนจำวันเกิดของวงได้ พวกเราจำไม่ได้หรอก

LIPS: เหมือนจอร์จ อาร์. อาร์. มาร์ติน คนเขียน Game of Thrones เลย เวลางงว่าตัวละครไหนอยู่บ้านไหน เป็นลูกใคร เขาจะโทรถามหัวหน้าแฟนคลับ แฟนๆจะจำเรื่องราวได้มากกว่าตัวคนสร้างงานเสียอีก

Three Man Down: (หัวเราะ) มีงี้ด้วย

เต: เราจำได้เพราะมีคนแชร์มาให้ แฟนๆจะมาคอยเตือนเราเสมอว่าเราเคยไปทำอะไรไว้

LIPS: ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา มีความทรงจำอะไรแว้บขึ้นมาบ้าง

กิต: ผมว่ามันสลับกันไป แต่ละครั้งเราจะนึกอะไรได้ไม่เหมือนกัน เหมือนเป็นภาพมอนทาจที่ไม่เป็นเรื่องราวต่อเนื่องกัน อย่างเมื่อกี้ผมนึกภาพตัวเองกำลังเอ็กซ์พอร์ตไฟล์ตอนที่พี่ถามขึ้นมา แต่ถ้าล่าสุดน่าจะนึกภาพเดียวกัน คือภาพจากสารคดี We are Three Man Down | Documentary ที่ให้จารเรด (ยูทูเบอร์ RedremasteRed) เป็นคนทำ พอดูแล้วมีคำถามเดียวกันขึ้นมาว่า พวกเราเคยทำสิ่งเหล่านี้ด้วยเหรอ

สารคดี We are Three Man Down | Documentary 01

เต: จำได้ไหมที่เราคัฟเวอร์เพลงพี่ๆบอดี้แสลมในสวนที่เจ้าของแอบเอากล้องไปตั้ง (ทุกคนเข้าสู่ช่วงย้อนวันวานงานอดีตหวานกันชั่วครู่) คือพอเจอเรื่องใหม่ๆ เราก็จะนึกถึงเรื่องเก่าๆ ว่าเราเคยทำงานนี้ในสเกลแบบบ้านๆมาก่อนนะ

กิต: (ทำท่านึกขึ้นได้) วันก่อนไปกินข้าวกับคุณนาว (วิชชานนท์ ว่องวีรชัยเดชา) วงเมอร์ (Mirr) เขาบอกว่าความจริงเราเคยเจอกันมานานแล้วนะ แล้วก็พูดชื่องานหนึ่งขึ้นมา เราก็งง เฮ้ย เหรอ จริงดิ จำไม่ได้

LIPS: นี่เป็นโรคความจำระยะสั้นถูกลบไปหรือเปล่า

กิต: เอ่อ เป็นโรคจำสิ่งที่อยากจำครับ ผมวิเคราะห์พวกเราละว่าเราเลือกจำแต่สิ่งที่ต้องทำตอนนี้ สมมติเป็นเกมเควสต์ เราจะจำแต่สิ่งที่ปักหมุดไว้ ตอนนี้พวกเราเลยจำว่าจะมีคอนเสิร์ตที่อิมแพ็กอารีน่าวันที่ 19 สิงหาคมนี้ และก็จะจำอยู่แค่นี้เลย

LIPS: จุดนี้โฆษณาแฝงเนียนมาก แล้วในปีที่ 10 สกิล Three Man Down อยู่เลเวลไหนแล้ว

ตูน: ผมว่าเวล 99 แต่ยังไม่จุติ

เต: จุติ แต่ว่าไปเริ่มเกมใหม่ พวกเราเกิดใหม่พร้อมสกิลที่ได้มาแล้ว

กิต: ถ้าตามหลักของเกม มันคือการอัปสกิล ทุกอย่างจะยากขึ้น บอสก็จะยากขึ้น แต่ว่าเราจะได้ความสามารถตอน end game เพื่อไปเริ่มใหม่ ถ้าถามตัวผมเอง เราน่าจะเพิ่งเปลี่ยนคลาสครั้งที่ 2 ในอัลบั้มแรก เราเปลี่ยนจากคนธรรมดาเป็นนักร้อง พอมาอัลบั้มนี้เราเปลี่ยนจากนักร้องไปเป็นนักร้องที่มีคอนเสิร์ตใหญ่

LIPS: เห็นบอกว่าทำงานมา 10 ปี เงินในบัญชีเท่าเดิม…ได้ไงน่ะ

กิต: อุ๊ย รู้ได้ไงน่ะ น้อยลงกว่าเดิมด้วย ฮ่า ฮ่า

LIPS: ทำงานหนัก มีชื่อเสียง เป็นวงเบอร์ต้นของประเทศนะ

เต: เรากินของอร่อยได้บ่อยขึ้นมากกว่า

กิต: คือวงเรามีนิสัยชอบ reinvest ใช่ไหมพี่ตูน (หันไปถามตูน)

ตูน: ใช่ เราไม่ได้ใช้เงินเท่ากับช่วงแรกที่เราเริ่มต้นจากศูนย์ ยกตัวอย่างอัลบั้มแรก เราทำกันเองที่บ้าน ไม่ได้ใช้ค่าห้องอัดเลย เป็นเพลงโฮมเมด พออัลบั้มที่สอง เราเริ่มอัปคุณภาพขึ้น เริ่มใช้โปรดิวเซอร์เข้ามาช่วย ไปอัดเพลงในสตูดิโอดีๆ ส่งเพลงไปมิกซ์กับคนเก่งๆ เราทุ่มไปกับคุณภาพเหล่านี้เพื่อให้วงเราไปในจุดที่สูงขึ้น

กิต: ผมว่ามันเป็นสัจธรรมของมนุษย์นะ เราอยากทำอะไรในสิ่งที่เราอยากทำในช่วงอายุหนึ่ง ก่อนหน้านี้พวกเราทำงานกันแบบงานคราฟต์ ทีนี้คนรู้จักงานแนวนี้ของเรากันแล้ว เราก็อยากตีออกไปเป็นงานมาสเตอร์มากขึ้น มีความเนี้ยบมากขึ้น ไม่แน่ว่าอัลบั้มหน้าเราอาจจะทำแบบดิบลงมา หรือเนี้ยบจัดยิ่งกว่าเดิมก็ได้ เราก็ยังไม่รู้ตัวเอง

LIPS: เป็นความทะเยอทะยานของศิลปินใช่ไหม

กิต: มันคือความโลภครับ ฮ่า ฮ่า

เส็ง: เราอาจไปสุดแบบเจมส์ คาเมรอน วันหนึ่งเราอาจขึ้นไปบนอวกาศและแต่งเพลงกันบนนั้น

กิต: หรือเราอาจเป็นแบบพี่เต๋อ (นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์) ตั้งกล้องนิ่งๆ แล้วกดถ่ายไป

“Three Man Down ไม่ได้ผลิตแค่เพลง แต่ Three Man Down ผลิต Three Man Down”

LIPS: กลับมาที่คอนเสิร์ตใหญ่วันที่ 19 สิงหาคมนี้ ซึ่ง Three Man Down ดูแลงานทั้งหมดเอง

กิต: ตั้งแต่ 0 ถึง 100 เลยครับ ผ่านตาเราหมด ผ่านแบบนี้นะ (โบกมือเร็วๆผ่านตาของเตแบบมองไม่ทัน)

เต: ทางแกรมมีช่วยเราเยอะครับ ในฐานะที่วงรู้จักตัวเองดีที่สุด เราเลยอยากเข้ามากำกับทิศทางของคอนเสิร์ตด้วย พูดได้ว่าทุกกระบวนการผ่านตาเราหมด (กิตสาธิตการโบกมือผ่านตาของเตเร็วๆอีกครั้ง) เราไม่ได้ทำแค่ดนตรีเท่านั้น เราขยายไปดูเรื่องงบ เรื่องชิ้นงานต่างๆ เรียกว่าแต่ละคนกระจายกันไปดูงานในส่วนที่ตัวเองถนัด เรามองว่าด่านอิมแพ็กอารีน่าเป็นด่านที่ทำให้พวกเราเก่งขึ้น ถ้าเราผ่านนี้ไปได้ งานต่อไปเราอาจไม่ต้องทำเอง เรารู้แล้วว่าองค์ประกอบใหญ่ของคอนเสิร์ตใหญ่มีอะไรบ้าง

เส็ง: เราอยากทำทุกอย่างเอง เพราะเรามองว่า Three Man Down ไม่ได้ผลิตแค่เพลง แต่ ‘Three Man Down ผลิต Three Man Down’ ฉะนั้นเรารู้ว่า Three Man Down ต้องการองค์ประกอบอะไรบ้าง หรืออย่างน้อยเราต้องรู้ว่ามันทำงานอย่างไร ถ้า Three Man Down ผลิตแค่เพลง ทุกอย่างจะง่ายมาก เราก็แค่ทำเพลงอย่างเดียว จบ อย่างอื่นให้คนอื่นทำ แต่เรามองว่าเพลงคือหนึ่งในโปรดักต์ของ Three Man Down นอกจากนี้ก็มีเอ็มวี เพลง คอนเสิร์ต สินค้า สังคม ชุมชน ไปจนถึงแฟนคลับของ Three Man Down ด้วย

LIPS: Three Man Down คือสตาร์ตอัปนั่นเอง

กิต: ใช่ๆ มันคือสตาร์ตอัปที่เปิดตัวโปรดักต์บางส่วนออกมาแล้ว ตอนนี้เรากำลังอัปสเกลตัวเองจากสตาร์ตอัปให้กลายเป็นองค์กร ซึ่งการบริหารคือประสบการณ์ใหม่ของทุกคน พวกเราทำแม้กระทั่งเพลงคลอที่จะเปิดในฮอลล์ที่อิมแพ็ก เพราะเราอยากให้ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของพวกเรา ไม่ได้อยากจะเปิดเพลงอะไรก็ได้ เราอยากให้คนได้ยินเสียงที่เราคิดไว้แล้วก่อนที่โชว์จะขึ้น ตูนเป็นคนจัดการในส่วนนี้ (ผายมือไปทางตูน)

เต: มันอาจจะได้ผลดีหรือแย่ เราเองก็ยังไม่รู้ แต่ที่แน่ๆคือเรารู้แล้วว่าเราต้องทำอะไรบ้าง ในอนาคตเราอาจไม่ได้ต้องทำเองแล้วก็ได้

เส็ง: แต่เราจะมีไกด์ไลน์ที่ส่งต่อให้คนอื่นแล้วบอกว่า ‘พี่ ทำแบบนี้ และบอกได้ว่าอันนี้อย่าทำเรา ผมทำมาแล้ว ไม่เวิร์ก’

LIPS: ไม่ได้ทำเองทุกกระบวนการเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีเลิศ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผลจะออกมาเป็นยังไง แต่อยากถ่ายทอดความเป็น Three Man Down ที่แท้ทรู

เต: ใช่ เพราะเรารู้จักรสนิยม ความชอบ บรรยากาศของคนที่ฟัง Three Man Down ดังนั้นเราเลยต้องทำงานไปตามสิ่งที่ผมรู้จัก เราไปเจอกับแฟนๆมาเองทุกวัน จนเรารู้ว่าเขาคิดอย่างไร หน้าตาเป็นแบบไหน

“ต่อให้พวกเราจะไปในแนวทางไหน แต่เราจะมีความเป็นทมด. ในทุกๆอย่าง”

LIPS: วิธีการแบบนี้เลยทำให้เรารักษาความเป็น Three Man Down ไว้ได้มาตั้งแต่แรก จากที่อ่านในคอมเมนต์แฟนๆ จะบอกว่าภาคดนตรีเติบโตขึ้นมา แต่ยังเป็นทมด.อยู่

Three Man Down: (หัวเราะ) ใช่ๆ แฟนๆจะเรียกพวกเราว่าทมด.

กิต: ต่อให้พวกเราจะไปในแนวทางไหน แต่เราจะมีความเป็นทมด. ในทุกๆอย่าง

เต: มันคือไบเบิล ถ้าเป็นจอร์จ อาร์อาร์ มาร์ตินคือพวกเราทำสายตระกูลไว้ก่อนว่าคนนี้อยู่บ้านไหน แล้วค่อยๆร้อยเรียงแต่ละคนเข้ามาเป็นเรื่องราว

กิต: ซึ่งเป็นหลักการทำงานที่ต้องทำอยู่แล้ว ไม่มีใครทำไปโดยไม่มีเซ็ตอัป เพียงแต่จอร์จอาจจะวางโครงคร่าวๆไว้ประมาณหนึ่งก่อน แล้วค่อยขยายเรื่องราวต่อ ถ้าเราไม่มีบอร์ดนั้นให้กลับไปดู เราจะหลงทาง ตอนนี้เรากำลังทำ ‘ไกด์ไลน์ฉบับ Three Man Down สำหรับคอนเสิร์ต’ เราก็เลยต้องทำเอง เพราะนี่คือคอนเสิร์ตใหญ่ของเราเองครั้งแรก

LIPS: ทำไมต้องรอถึง 10 ปีล่ะ แฟนๆย่อมเรียกร้องคอนเสิร์ตใหญ่มาตั้งแต่อัลบั้มแรกแล้ว

ตูน: เหมือนเรามีอาวุธ แต่มันยังไม่สามารถปราบบอสที่เรียกว่า ‘อิมแพ็กอารีน่า’ ได้ โอเคว่าเรามีไอเท็ม 2-3 ชิ้นแล้ว แต่กับอิมแพ็ก เราต้องใช้ไอเท็มมากกว่านั้น มันต้องการหลายๆปัจจัยที่จะทำให้มันเป็นคอนเสิร์ตที่ดี

กิต: วงเราไม่ใช่วงที่ทำอะไรตอนเป็นกระแสด้วย ถ้าเรามีคอนเสิร์ตใหญ่ตอนมีอัลบั้มแรก ตอนที่ทุกคนรู้จักเราจากเพลง ‘ถ้าเธอรักฉันจริง’ กำลังดัง กระแสดีมากเลย ต้องจัดคอนเสิร์ตแล้วละ มันก็จัดได้นะ แต่ตอนนั้นพวกเรารู้สึกว่าแฟนคลับกำลังช่วยให้พวกเราได้ไปอยู่ในอิมแพ็กอยู่ เพราะเราเองก็อยากไปเล่นที่อิมแพ็ก และคุณมาดูว่าจะจัดการกับอิมแพ็กอย่างไร ผมเลยคิดว่าการที่เรามีคอนเสิร์ตใหญ่

ตอนมีอัลบั้มที่สองเป็นจังหวะเวลาที่ดีมาก เรากำลังพิสูจน์ตัวเอง ตั้งคำถามกับตัวเองว่าสิ่งนี้จะไปอยู่ในอิมแพ็กได้ไหมโดยที่อาจจะไม่ได้เป็นกระแสแบบอัลบั้มแรก แต่ว่านี่แหละคือสิ่งที่เราต้องการ เราอยากได้สิ่งที่เป็นออร์แกนิก ถ้าเป็นมวย เราอยากต่อยแบบสมศักดิ์ศรี แล้วมันจะสนุกมาก

“เป้าหมายของทุกคนน่าจะตรงกัน คือการยืนระยะให้ได้นานที่สุด ถ้าเป็นมวยก็ขอให้ยืนให้ครบ 12 ยก ไม่ต้องชนะน็อกอย่างเดียว”

เส็ง: อย่างที่บอกไปว่า Three Man Down มีโปรดักต์หลากหลาย แต่ทั้งหมดอาจไม่ใช่ ‘ของ’ ที่ทำออกมาขาย โปรดักต์จะอยู่ในทุกๆอย่างที่เราทำ ไม่ว่าจะเป็นสารคดีที่เราให้จารเรดมาช่วยทำ อัลบั้ม หรือแม้แต่ไอจีของพวกเราก็เป็นโปรดักต์หนึ่ง การทำงานตอนนี้ของพวกเรามีแค่ 4-5 คนก็เลยจะเหนื่อยกันหน่อย แต่เมื่อถึงวันที่วงล้อมเริ่มทำงานของมัน ก็จะรีเทิร์น กลับมาในรูปแบบอื่น

ตูน: อย่างตอนแรกที่ถามว่า เราทำงานกันขนาดนี้ ไม่ได้สุขสบายกันมากขึ้นเลยเหรอ พวกเรารู้สึกว่าตอนนี้เป็นการ reinvest แบบที่กิตบอก ด้วยความที่กราฟการเติบโตของวงเราเร็ว การลงทุนจึงสูงผันไปตามชื่อเสียงด้วย ถ้าตอนนี้เราเอาแต่เก็บเงินโดยไม่ได้ลงทุนกับระบบ เครื่องเสียง หรือเครื่องดนตรีที่สามารถเล่นในอิมแพ็กได้ อิมแพ็กก็เป็นไปไม่ได้นะ

กิต: ไม่งั้นป่านนี้พวกเราอ้วกแล้วครับ แต่กลับกันตอนนี้พวกเรามาอิมแพ็กแบบพร้อมมาก เพราะเราค่อยๆซื้อไอเท็มเติมเข้ามา ซึ่งไม่ใช่ว่าซื้อเพื่อไปอิมแพ็กนะ แต่เราลงทุนไปเพราะอยากพัฒนาตัวเอง พอถึงจุดที่แกรมมีบอกว่าคุณไปอิมแพ็กกันเถอะ และเรากางระบบออกมาซ้อม ทุกอย่างที่เรามีสามารถพาเราไปอยู่ในอิมแพ็กได้โดยที่เราไม่รู้ตัว ซึ่งเกิดจากเก็บเกี่ยวมาเรื่อยๆ แบบตูนที่ซื้อกีตาร์เพิ่มมาเรื่อยๆ (ผายมือไปทางตูนอีกครั้ง)

ตูน: อ้ะ ใช้สิทธิ์พาดพิง

กิต: (หัวเราะ) การเรียบเรียงเพลง การแสดงสด และสกิลทุกอย่าง เราได้ฝึกฝนจากการไปร้องเพลงตามร้านต่างๆ ไปทัวร์ต่างประเทศ เราทดลองมาเรื่อยๆ จนถึงวันที่เราต้องจัดการคอนเสิร์ตเดี่ยวของตัวเอง เราจัดการมันได้ ถ้าเราไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ช่วงเพลงถ้าเธอรักฉันจริงกำลังดัง คอนเสิร์ตของพวกเรานี่ต้องให้คนอื่นมาช่วยเยอะมากเลยนะ เราต้องไปหาผู้ใหญ่มา ไปหาคนมีประสบการณ์ หาโชว์ไดเร็กเตอร์ แต่นี่เราไม่ได้ต้องการอะไรเลยครับ เราอยากใช้สิ่งที่สั่งสมมาไปทำให้ดูมากกว่า มวยแบบนี้มันกว่า

เต: ผมคิดว่าเป้าหมายของทุกคนน่าจะตรงกัน คือการยืนระยะให้ได้นานที่สุด ถ้าเป็นมวยก็ขอให้ยืนให้ครบ 12 ยก ไม่ต้องชนะน็อกอย่างเดียว

สารคดี Three Man Down 28 | Documentary 02

LIPS: เป็นหนัง Rocky ภาคแรกมากเลยนะ ทำตามเป้าหมายของตัวเองให้ได้ก็คือประสบความสำเร็จแล้ว ไม่ใช่ว่าการชนะต้องเป็นเป้าหมายเสมอไป

กิต: ใช่เลยครับ! ไม่จำเป็นว่าผลที่ได้จะต้องต่อยให้ชนะน็อกในยกแรก ตอนนี้โลกเราไปถึงจุดที่คนเราสามารถหาเงินจากทุกสิ่งทุกอย่างได้ แม้กระทั่งเต้นใน TikTok ก็แสดงว่าถ้าคุณยืนได้ครบ 12 ยก สปอนเซอร์ก็เข้าได้ 12 ยก มันมีทางอื่นให้ไป ถ้าคุณไม่ใช่คนที่จะต่อยชนะน็อกได้ใน 2 ยกแล้วได้เงินรางวัล แต่ต่อยครบ 12 ยกก็ได้เงินรางวัลเหมือนกัน นี่พูดในเรื่องธุรกิจนะครับ

เต: สำคัญกว่าคือชนะแล้วยังไงต่อ มันคือคำถามที่พวกเราถามตัวเองตลอด อิมแพ็กจบแล้วยังไงต่อ มีเพลงดังแล้วยังไงต่อ ถ้าเราคิดว่าเราดังแล้ว เริ่มเสพความสุข ใช้เงินที่เราหามาได้ มันก็จะจบแค่นั้น

LIPS: คุณทำวงด้วยกันมาตั้งแต่เมื่อแรกเข้าปี 1 จนตอนนี้จะช่วงเข้าสู่เลข 3 กันแล้ว ความรู้ใจกันของวงไปถึงระดับไหน

กิต: มันคือแก่นของ Three Man Down มาตลอด พวกเรารู้ว่าใครถนัดด้านไหนก็ให้คนนั้นดูแลไปเลย ถ้าในแง่การทำงาน เราเหมือนองค์กรเลยครับ ถ้ามีคนเข้ามาหา อยากจะคุยเรื่องนี้ เราก็จะผายมือ เชิญเคาน์เตอร์นี้เลยครับ (ผายมือไปทางตูนเป็นรอบที่ 3) มีสมาชิกในวงที่ดูแลแต่ละด้านอยู่แล้ว พวกเราไม่จำเป็นต้องเข้าประชุมพร้อมกัน 4 คน ถ้าจะคุยเรื่องนี้ คนนี้ไปประชุมคนเดียวได้ และทุกคนก็จะเชื่อเขา คนอื่นที่เหลือก็ไปทำอย่างอื่น ไปต่อจิ๊กซอว์ในเรื่องอื่น

เส็ง: วิธีนี้ทำให้พวกเราทำงานได้เร็วกว่าเดิมด้วย อย่างไม่นานมานี้กิตไปทำเรื่องคอนเสิร์ตที่เชียงใหม่ ตูนทำคอนเสิร์ตที่อิมแพ็ก เตไปดูแลเรื่องสารคดีกับผู้กำกับ ผมไปเทสต์เวที ต่างคนต่างไป มันคือความรับผิดชอบส่วนตัวที่จะทำให้แบรนดิ้ง Three Man Down แข็งแรง

LIPS: มีปัญหาขัดแย้งหรือทะเลาะกันบ้างไหม

กิต: โอ๊ย เยอะครับ

เต: เป็นเรื่องปกตินะ ผมให้ 90% ของชีวิตช่วงนี้กับ Three Man Down ฉะนั้นเราแคร์กับวงมากๆ เราต้องรู้ว่าจังหวะไหนที่เราต้องถอยหลัง จังหวะไหนที่เราเข้าใกล้ เป็นเรื่องการบริหารคนที่จำเป็นต้องเรียนรู้ เราไม่ได้มีประสบการณ์หรือมีวุฒิภาวะสูงกันมาแต่แรก พวกเราก็เป็นแค่วัยรุ่น 4 คน ต้องมีกระทบกระทั่งกันบ้าง เพราะเราเป็นวัยรุ่นที่เอาแต่ใจกันทุกคน แต่ก็มีเหตุผลพอที่จะรู้ว่าตรงนี้ควรถอย หรือควรเข้าใกล้ ตรงนี้ไม่ต้องยุ่ง นี่เรื่องส่วนตัว

“เราเป็นวัยรุ่นที่เอาแต่ใจกันทุกคน แต่ก็มีเหตุผลพอที่จะรู้ว่าตรงนี้ควรถอย หรือควรเข้าใกล้”

LIPS: เวลาอ่านเรื่องราวของหลายๆวงที่อยู่ด้วยกันมานานแล้ววงแตก แฟนๆรู้สึกเหมือนกันหมดแหละว่าเสียดาย และเมื่อเวลาผ่านไป สมาชิกในวงก็รู้สึกแบบเดียวกัน ดังนั้น พื้นฐานเรื่องความเชื่อใจ Trust กันสำคัญมากๆ

เส็ง: ผมว่าการบริหารคนเป็นเรื่องยากที่สุดแล้ว แต่ถ้าเรารู้จักนิสัยใจคอและธรรมชาติของแต่ละคนก็จะรู้จังหวะกันไปเอง

เต: จริงๆเรื่องนี้ก็เพิ่งทะเลาะกันไปนะ เราอาจสงสัยในการกระทำกันได้ แต่หลักๆแล้วเราต้องเชื่อใจกัน เรื่องงานเราอาจจะงงว่านี่มันทำอะไร ทำไมมันทำแบบนี้ แต่ลึกๆแล้วเราก็รู้สึกว่ามันคงทำเพื่อวงแหละ

กิต: พอเราเชื่อใจกันว่าทุกคนทำเพื่อวงหมด มันจะไม่มีการสงสัยในแง่มุมที่ว่า มันทำไปทำไม คือมันเคยมีมาก่อนนะ ความรู้สึกสงสัย แต่มันถูกพิสูจน์ด้วยบางอย่างมาแล้วว่าทุกคนเหนื่อยกันหมด และทำเพื่อวงกันหมด เด็กรุ่นใหม่อาจมีวิธีคิดที่ดีกว่านี้ก็ได้ แต่ผมว่า Three Man Down ตกตะกอน เห็น เรียนรู้จากรุ่นพี่และการทำงานต่างๆมา เราเอามาขยี้จนได้ออกมาเป็น Best Solution ของ Three Man Down ณ ตอนนี้

LIPS: และตอนนี้ Three Man Down เป็นวงรุ่นพี่ละ

กิต: ใช่ฮะ ไปไหนมาไหนเริ่มมีคนยกมือไหว้ และอีกไม่นานคงโดนเรียกว่า ‘น้า’ น้าตูน น้ากิต น้าเต

เต: และเจ็กเส็ง (ทุกคนฮา)

LIPS: ประเด็นคือจะถามว่าอยากเป็นรุ่นพี่แบบไหน และไม่อยากเป็นรุ่นพี่แบบไหน

กิต: เราจะเป็นแบบไหน เราไม่รู้เลยครับ เราจะไปของเราแบบนี้ แต่ถ้ามีสิ่งไหนที่เรากรุยทางให้น้องๆได้ เราจะกรุยให้ดู ถ้าดูแล้วคุณอาจจะเกลียดเรา แล้วไปหาทางอื่นก็ได้ คุณอาจจะเติบโตมากับเราและเกลียดเรามาก แต่นั่นก็คืออีกหนึ่งแรงในการสร้างสิ่งใหม่ๆในวงการเพลงไทย ไม่ว่าคุณจะชอบหรือจะเกลียดเรา ก็ใช้ความรู้สึกนั้นที่มีต่อเราเป็นแรงบันดาลใจได้ทั้งนั้น

เต: ผมชอบคำหนึ่งของจารเรดที่ไปเจอมาเมื่อวาน เขาบอกว่า “ผลงานที่แย่มากๆก็มีคุณค่า ผลงานที่ไม่มีคุณค่าคือผลงานที่ธรรมดา” ไม่ว่าคุณจะรักหรือเกลียด สิ่งนั้นมีคุณค่าบางอย่างสำหรับคุณ ต่อให้คุณไม่ชอบเรา เราก็มีคุณค่าบางอย่างที่อาจเป็นแรงบันดาลใจให้คุณทำอะไรมาโค่น Three Man Down ให้ได้ก็ได้

“ไม่ว่าคุณจะชอบหรือจะเกลียดเรา ก็ใช้ความรู้สึกนั้นที่มีต่อเราเป็นแรงบันดาลใจได้ทั้งนั้น”

LIPS: รายการข่าวต่างๆ เดี๋ยวนี้ต้องให้นักการเมืองร้องเพลงปิดท้าย แล้ว Three Man Down อยากร้องเพลงอะไรให้ใครบ้างไหม

กิต: อยากร้องเพลงเปิดตัวเขา (ยกมือทำรูปหัวใจประกบกับเต)

เต: ทั้งที่เพิ่งคบกันได้ไม่นานอ่ะนะ

กิต: แต่วันนั้นบอกกับฉันว่ามันต้องใช้เวลา…

เต: นี่ตอนนี้เราต้องรู้สึกแบบไหน

กิต: ที่เธอไปหา ไปถ่ายรูปคู่กับเขา (ทำท่าเจ็บปวดใจสุดแสน)

เต: จริงๆแล้วเพลงถูกใช้เป็นเครื่องมือมาโดนตลอด

กิต: และใช้มานานแล้วด้วย ตั้งแต่สมัยมีสงคราม มีการเป่าเครื่องดนตรีมาบิลด์ความรู้สึกทหาร เพลงมีวิวัฒนาการมาเรื่อยๆจนเป็นอย่างที่เป็นในทุกวันนี้

เต: ถ้าเพลงไปอยู่ในมือคนกลุ่มหนึ่งอาจเป็นเรื่องดีในวันนี้ มันอาจไม่ดีก็ได้ในอีกยุคหนึ่ง เพราะการให้ความหมายของคนเราอาจเปลี่ยนไป ต้องใช้คำว่า ‘ถ้าเราโชคดี’ เพลงก็จะไปอยู่ถูกคนและถูกตีความอย่างที่ควรจะเป็น แต่ในฐานะคนเขียนเพลงหรือศิลปิน เราไม่ได้คิดอะไร นอกจากนั่นคือเพลงที่เราเขียน

“10 ปีเพิ่งผ่านไปไม่นานสำหรับพวกเรา เอาจริงๆพวกเราเพิ่งจะเข้มข้นกันเมื่อ 4 ปีให้หลังมานี้เอง”

LIPS: ปีนี้ Three Man Down จะร่วมงานกับ Spotify ทั้งปีเลย และเพลงแรกที่ขึ้นอันดับหนึ่งคือ ‘ฝนตกไหม’ ก็ขึ้นชาร์ตของ Spotify นี่แหละ ศิลปินยุคนี้โชคดีมีแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เข้าถึงคนได้เยอะมากและไม่จำกัดเวลา แต่ก่อนศิลปินมีพื้นที่เข้าถึงคนฟังน้อยมาก มีแค่โลกดนตรี เจ็ดสีคอนเสิร์ตและทไวไลต์โชว์

กิต: ผมว่ามีข้อดี-ข้อเสียต่างกัน ยุคนี้มีเมต้าเวิร์ส มีโลกที่ทุกคนเข้าไปจับจ่ายใช้สอยแมตทีเรียลได้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเราไม่มีวันได้รู้เลยว่าญี่ปุ่น ณ ตอนนี้ เขาฮิตอะไรกัน และการที่เราได้รู้มันคือข้อมูลใหม่ ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกัน หรือในแง่ดนตรี แต่ก่อนแบ่งแยกกันชัดเจนว่าสไตล์นี้คือเจร็อก แบบนี้คือบริตป๊อป แต่ทุกวันนี้เพลงแทบทั้งโลกคล้ายกันไปหมด ผมไม่รู้ว่าวันหนึ่งดนตรีจะถูกปั่นจนกลายเป็นสมูตตี้หรือเปล่า

มันก็ดีในแง่ที่ว่าไม่มีกำแพง แต่พอไปถึงจุดนั้น คนเราจะโหยหากำแพง เพราะมนุษย์เป็นสัตว์ที่โหยหาสิ่งที่ไม่มีเสมอ เกิดวันหนึ่งที่วัฒนธรรมดนตรีเหมือนกันไปหมด และมีคนหนึ่งที่โดดออกมาเป็นเจร็อกหรือเป็นกรันจ์คนเดียว โลกอาจจะมี Nirvana หรือเคิร์ต โคเบนอีกรอบก็ได้นะ แต่ตอนนี้ความรู้และสิ่งที่เราอยากเสพ เราเข้าถึงได้หมดแล้ว เรากำลังมองหาสิ่งที่ไม่มีใครทำ ซึ่งก็เหมือนกับทุกวงการ ไม่ว่าจะเป็นวงการแฟชั่น ภาพยนตร์ และสื่อทุกๆอย่างมีวัฏจักรแบบนี้หมด เกมก็เป็นนะ ทุกวันนี้เป็นเกมแนว Battle Royale ทั้งนั้น จนกว่าใครจะคิดสิ่งใหม่ขึ้นมาได้นั่นละ

เต: Spotify เป็นแพลตฟอร์มดนตรีที่ได้ให้การสนับสนุนศิลปินและพวกเรา Three Man Down ผ่านการทำเพลย์ลิสต์ต่างๆ มาตั้งแต่แรก เราได้อยู่ทั้งในเพลย์ลิสต์ “New Music Friday”, “Hot Hits Thailand” และ “ฉันฟังเพลงไทย” จนทำให้จำนวนผู้ฟังรายเดือนของเราเพิ่มขึ้นถึง 178% ในช่วงปี 2022 – 2023 และมียอดผู้ติดตามเพิ่มขึ้นถึง 60,000 คนในเดือนกรกฎาคมปีนี้ รวมทั้งยังได้ขึ้นบิลบอร์ดที่ Siam Paragon และแยกอโศก จากการขึ้นปกเพลย์ลิสต์ “ฉันฟังเพลงไทย”

LIPS: แล้วอยากใช้ Three Man Down ไป disrupt อะไรไหม

เต: อะไรที่ต้องฟอลโลว์ตามโซเชียล เราก็ต้องทำ อะไรที่เราคิดว่าเราเล่นชนะ ต่อให้มันกบฏ เราก็จะเล่น

กิต: วันก่อนเพิ่งไปดู COCKTAIL CLASSICS มา ชอบประโยคหนึ่งที่พี่โอม (ปัณฑพล ประสารราชกิจ วงค็อกเทลและผู้บริหาร Gene Lab) พูดว่า “เราไม่ได้อยากขับเคลื่อนอะไรเลย เราแค่อยากทำในสิ่งที่เราอยากทำ” ผมรู้สึกว่าแค่นั้นพอแล้ว ถ้าสิ่งที่เราทำจะไปขับเคลื่อนหรือสร้างแรงบันดาลใจให้ใครสักคนก็รู้สึกขอบคุณ และนั่นเป็นสิ่งที่ดี

เต: แต่สิ่งที่อยากทำก็ต้องประกอบไปด้วยองค์ประกอบที่ทำให้เราทำได้ด้วย ไม่ได้หมายความว่าเราจะทำอะไรก็ได้ในวันที่เราจะทำตอนไหนก็ได้ บางอย่างเราก็ต้องทำเพื่อไปข้างหน้า บางอย่างเราต้องถอยกลับมา แล้วเลือกจังหวะเวลาที่จะทำ

กิต: เหมือนเล่นหมากรุก ถ้าเราอยากกินม้า เราอาจต้องยอมเสียเบี้ยตัวนี้ก่อน

เต: บางคนอาจบอกว่า เราสูญเสียตัวตนหรือเปล่า บางคนบอกว่าเราดื้อเกินไปหรือเปล่า มีทั้งสองฝั่ง เราก็ต้องบาลานซ์

กิต: มันคือวงจรของสมัยนี้เลย วันก่อนผมเพิ่งคุยกับจารเรดไป เขาบอกว่าพวกผมอ่านคอมเมนต์กันบ้างไหม คนเขาด่าแล้วนะว่าพวกผมโดนเขาล้างสมอง แต่เบื้องหลังคือ จารเรดต่างหากที่โดนพวกผมล้างสมอง (หัวเราะ) ไม่หรอก เขาเก่งมากจนเราไม่ต้องไปยุ่งอะไรมาก เขาประกอบร่างของเขาแล้ว เขาอาจจะใช้ Three Man Down เป็นเบี้ยที่เอาไปทำอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่โดยที่เราอาจไม่รู้ตัวก็ได้

สารคดี Three Man Down Road to Impact Arena | Documentary 03

จารเรดเป็นยูทูเบอร์คนหนึ่งที่มีทักษะการเล่าเรื่องที่เก่งมาก เราไปคุยกับเขา เขาอยากทำหนัง อยากเป็นผู้กำกับหนัง เราเลยบอกว่าพวกเราคือเบี้ยหนึ่งตัวที่คุณจะเอาไปเดินหมากดูไหมล่ะ ลองดูไหม ถ้าคุณอยากเดินไปกินจุดที่อยากจะไป คุณใช้ Three Man Down เป็นเบี้ยเดินไปถึงจุดนั้นได้ ก็เลยเกิดโปรเจกต์ทำสารคดีกันขึ้นมา

เต: มันคือการเรียนรู้กันและกัน เพราะเราก็ไม่รู้จักเขา ซึ่งเราคิดว่ามันดีที่สุดแล้วในการทำสารคดี เราไม่ต้องการให้คนมาชมเรา เราอยากให้คนมาเล่าเรื่องราวของเรา ดังนั้น หลายๆครั้งที่เขาพยายามชม เราจะบอกว่าขอตัดออกได้ไหม ไม่อยากให้มาชมกัน อยากให้พูดเรื่องจริง

กิต: เขาวิจารณ์ Three Man Down แบบตรงไปตรงมามากๆ และทักษะการเล่าเรื่องของเขาเก่ง เขายังขาดอะไร เรายังไม่รู้ ณ ตอนนั้น จนกว่าจะได้มาทำงานด้วยกันไปเรื่อยๆ และเขาทำงานคนเดียวหน้าคอมพิวเตอร์ แต่พอเขาได้มาเจอพวกเรา เขาเริ่มได้ทำงานกับคนในวงกว้างมากขึ้น และเขาดีใจมากที่ได้เรียนรู้สกิลการสื่อสารและประสานงาน เพราะวันหนึ่งข้างหน้า เขาจะเป็นต้องใช้สกิลนี้ เราเองก็อยากได้สกิลการเล่าเรื่องจากเขา ฉะนั้นมันคือการยื่นหมูยื่นแมวกัน

“เราอยากให้ Three Man Down เป็นแบรนด์หนึ่งที่คนจดจำได้ ให้คนทุกเจนรู้ว่าโลกนี้มี Three Man Down”

LIPS: ตูนกับเส็งล่ะ เหลียวหลังมองหน้า 10 ปีของ Three Man Down อย่างไร ก่อนจะขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกของวงในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว

ตูน: ผมรู้สึกว่า 10 ปีเพิ่งผ่านไปไม่นานสำหรับพวกเรา เอาจริงๆแล้วพวกเราเพิ่งจะเข้มข้นกันเมื่อประมาณ 4 ปีให้หลังมานี้เอง เพราะช่วงแรกเรายังไม่เข้มข้นมาก ฉะนั้นคำว่า 10 ปีฟังดูนานมากเลย แต่พวกเรารู้สึกว่าเพิ่งเริ่มกันเอง

LIPS: เพราะเคยบอกว่า ช่วง 6 ปีแรกไม่มีใครพูดถึง

ตูน: ใช่ แต่ก่อนพวกเราเป็นอันเดอร์ด็อกครับ เป็นวงดนตรีที่ไม่มีสีของตัวเอง คนอื่นอาจมองว่า โอ้โห Three Man Down อยู่มานานตั้ง 10 ปี รุ่นใหญ่แล้ว แต่ไม่เลย (ส่ายหน้า) พวกเรายังมีอะไรน่าสนุกให้ติดตามอีกเยอะมาก และพวกเราน่าจะมีแพสชั่นกับการทำงานตรงนี้ไปอีกนาน จะมีเซอร์ไพรส์กันอีกหลายครั้ง

LIPS: เพราะตูนได้ซื้อกีตาร์มาเป็นจำนวนมาก ต้องหาโอกาสปล่อยของ

ตูน: (หัวเราะ) ผมต้องวิเคราะห์ว่ากีตาร์แต่ละตัวต่างกันยังไง

เส็ง: (พับแขนเสื้อ) อ้ะ เดี๋ยวเจ็กจะพูดให้ฟังนะ (เพื่อนๆฮา) Three Man Down มีลูกบ้าและมีสิ่งที่อยากทดลองอีกเยอะมาก ในสิ่งที่เราวางแผนกันไว้ มีหลายสิ่งที่อยากให้คนติดตามที่ไม่ใช่แค่เพลง เราอยากให้ Three Man Down มีความเป็นไลฟ์สไตล์มากขึ้น อยากให้ Three Man Down เป็นแบรนด์หนึ่งที่ไปอยู่กับอะไรก็ได้ คล้ายกับ The Rolling Stones ที่มีรูปประจำวงเป็นรูปปากแลบลิ้น ต่อให้วงไม่อยู่แล้ว แต่รูปนี้จะยังคงอยู่บนเสื้อที่คนยุคนี้ใส่กัน โดยที่คนใส่เองก็อาจจะไม่รู้ว่ารูปนี้คือสัญลักษณ์ของวงดนตรี แค่รู้ว่ารูปปากแลบลิ้นดูเท่ดี

เราอยากให้ Three Man Down กลายไปเป็นแบรนด์แบบนั้นได้ และในอนาคตพวกเราก็หวังว่า Three Man Down จะอยู่คู่กับคนในยุคสมัยต่างๆ ต่อไปได้เรื่อยๆ ให้คนรู้สึกกับแบรนด์ Three Man Down ว่ามันเท่นะ โดยที่อาจไม่รู้ความหมายก็ได้ ไม่รู้ว่าเป็นวงดนตรีที่ดังหรือไม่ดัง คนแต่ละเจนจะจดจำแบรนด์ในแง่มุมต่างๆ เราอยากให้คนทุกเจนรู้ว่าโลกนี้มี Three Man Down

Words: Suphakdipa Poolsap
Photos: Somkiat Kangsdalwirun

Related Articles

เว็บไซต์ของเราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้ เราได้อธิบายความหมายและวิธีการใช้คุกกี้ของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถเข้าใจแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือการเปิดเผย รวมถึงทางเลือกในการใช้คุกกี้ของเรา อ่านเพิ่มเติม