Search
Close this search box.
Search
Close this search box.
HOME / Interview / People

‘มอลลี่ CRYBABY’ ศิลปินอาร์ตทอยที่ทำให้คนไทยต่อคิวชมนิทรรศการ และคนทั่วโลกคลั่ง ‘น้ำตา’

Interview / People

น้ำตาเป็นสิ่งที่มีกันทุกคน แต่ไม่ใช่สิ่งที่จะปล่อยให้มันไหลออกมาให้ทุกคนเห็นได้ เพราะจะโดนข้อหา ‘อ่อนแอ’ ทันที หากแต่มีศิลปินคนหนึ่ง ‘Molly’ มด-นิสา ศรีคำดี กับ ‘CryBaby’ อาร์ตทอยหลายตัวของเธอ เปิดพื้นที่ปลอดภัยให้ทุกคนมาหลั่งน้ำตาให้เห็นกันจะจะไปข้าง 

เราคุยกับมดในช่วงพีคสุดของ Everybody/Cries/Sometimes. นิทรรศการเมกะฮิตที่ทำให้ชาวไทยและชาวต่างชาติบินมาต่อแถวเข้าชมงานศิลปะ อันเป็นภาพที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในดินแดนแห่งซอฟต์พาวเวอร์นี้ มดหรือมอลลี่เป็นด่านหน้าของศิลปินอาร์ตทอยของไทยที่ดังระเบิดไกลถึงต่างแดนจริงๆ ‘CryBaby’ อาร์ตทอยเด็กเจ้าน้ำตาของเธอซื้อขายกันหลักแสน และไม่ว่าจะออกคอลเล็กชั่นใดออกมา คุณแทบต้องสื่อสารกับเทพหรือสิ่งเหนือธรรมชาติเสียก่อนจึงจะกดจองพรี-ออร์เดอร์ได้ทัน 

ตั้งแต่วันแรกที่ปลดปล่อย ‘น้องร้องไห้’ จากโลกภายในให้เห็นเป็นรูปธรรม จนทุกวันนี้ที่เป็นอาร์ตทอยเบอร์ต้นของไทย มดยังปฏิบัติต่อเจ้าเด็กขี้แยคนนี้ดุจเดิม คือวาดน้องให้มีชีวิตด้วยรักเสมอ

“ตอนแรกที่ทำ Crybaby ไม่ได้ตั้งใจว่าจะให้หน้าตาออกมาเป็นแบบไหน ปล่อยให้สัญชาตญาณพาไป”

LIPS: ตอนครีเอต Crybaby ครั้งแรกเป็นช่วงที่น้องหมาที่บ้านคุณป่วยใช่ไหม ผมของน้องจริงๆแล้วคือหูน้องหมา

Molly: ใช่ค่ะ รักเขามากก็เลยเอามาวาดรูป

LIPS: Crybaby อยู่กับเรามาเข้าปีที่ 6 จากที่เราเคยทำเพราะอยากทำ ไม่ได้คิดหวังในแง่ธุรกิจ มาวันนี้ที่เขาเป็นอาชีพของเราแล้ว ความรู้สึกต่อเขาต่างไปไหม

Molly: ไม่ค่อยเปลี่ยนมากนัก เราวาดคาแรกเตอร์ร้องไห้มาตั้งแต่สมัยเรียน ตอนนั้นวาดเป็น Rabbit ไม่ได้กดดันด้วย น่าจะมาจากเพราะเราสร้างเขาจากความรัก เขาคือแพสชัน กลับรู้สึกโชคดีด้วยซ้ำว่าเราได้ทำงานที่เรารัก มีคนที่พร้อมจะสนับสนุน ให้เราทำงานต่อไปได้เรื่อยๆ 

จำได้ว่าตอนแรกที่ทำ Crybaby ไม่ได้ตั้งใจว่าจะให้หน้าตาออกมาเป็นแบบไหน เราทำไปเรื่อยๆ ปล่อยให้สัญชาตญาณพาไป เหมือนว่าเราไม่ได้ออกแบบด้วยซ้ำ เป็นการทำไปเฉยๆ เพราะเราไม่ได้วางจุดประสงค์แต่แรกว่าเราจะทำไปเพื่ออะไร เป็นอารมณ์เหมือนเด็กนั่งวาดรูปไปเรื่อยๆ แต่ถึงเราจะปล่อยไหล แต่พื้นฐานของงานศิลปะที่มีในตัวเราก็ไหลออกมาผสมไปเอง 

“ถ้าเราเจอความสำเร็จเร็วตั้งแต่ตอนนั้น เราอาจไม่มีวุฒิภาวะมากพอจะจัดการได้…เราอาจจะยอมแพ้ไปแล้ว”

LIPS: ย้อนไปดูเส้นทางอาชีพ หลังจากเรียนจบนิเทศศิลป์ คุณไปสมัครเป็นกราฟิกดีไซเนอร์บริษัทจัดงานแต่งงาน…? 

Molly: ตอนเรียนจบกราฟิกดีไซเนอร์ ชีวิตเราไม่มีอะไรเกี่ยวกับของเล่นหรืออาร์ตทอยเลย ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร แต่งานศิลปะและกราฟิกดีไซน์ เรารักอยู่แล้ว แต่ถ้าให้เฉพาะเจาะจงไปมากกว่านั้น เรายังไม่รู้ว่าจะไปทำเป็นอาชีพอะไรได้ แต่ไม่ได้ทิ้ง ยังทำงานประดิษฐ์เป็นงานอดิเรกอยู่ หลังเรียนจบเราทำทุกอย่างที่เกี่ยวกับงานออกแบบ พอลาออกจากงานประจำก็ออกมาทำบริษัทอีเวนต์ของตัวเองด้วย เหมือนชีวิตพาเราไปจุดอื่น ส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่องการทำมาหากิน 

LIPS: ตอนทำบริษัทอีเวนต์นี่ชอบไหม

Molly: ชอบนะ เราทำอยู่ที่เดิม 7 ปี ออกมาเปิดของตัวเอง 3 ปี ทำงานนานมาก เป็นพนักงานออฟฟิศ ได้เลื่อนตำแหน่ง ก็เป็นไปตามครรลอง แล้วทุกอย่างต้องชัตดาวน์เพราะโควิด เราไม่มีงาน เลยมีเวลาทำงานของตัวเอง 

LIPS: ประสบการณ์ 10 ปีที่เป็นพนักงานออฟฟิศและทำอีเวนต์ ปรับใช้อย่างไรกับการทำ Crybaby ในวันนี้บ้าง

Molly: ใช้เยอะมาก ตอนถูกจับให้มาทำงานนี้ใหม่ๆ มันไม่ใช่สิ่งที่เราถนัด ต้องดีลกับคน ไม่ใช่สิ่งที่เรียนมา แต่มันคืองานก็เป็นการบังคับไปในตัวว่าเราต้องทำให้ได้ พอทำแล้วเลยได้คิดว่าคนเราใช้ความชอบไปประยุกต์ แตกแขนงให้เราโตได้อีกนะ พอเรามาทำ Crybaby มีพาร์ตธุรกิจ การบริหารจัดการ การเสียภาษี การจดทะเบียนบริษัท ไปหาโรงงานผลิต งานจิปาถะมากมาย ซึ่งการทำงานบริษัทมาก่อนช่วยเราได้มาก พอมาทำนิทรรศการของตัวเอง การจัดงานอีเวนต์ที่เราเคยทำนำมาประยุกต์ใช้ได้เยอะเลย เราเชื่อว่า สุดท้ายชีวิตจะผลักเราไปอยู่ในจุดที่ดีที่สุด เหตุการณ์ต่างๆที่เข้ามาเป็นเหมือนขั้นบันไดที่ปูทางให้เราทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ก่อน เพื่อให้เรามีพื้นฐานแน่นมากๆ และโตพอจะรับมือกับสิ่งที่จะเกิดตามมาได้ในวันที่เป็นโอกาสของเรา 

“Crybaby ไม่ใช่คนที่จมกับความเศร้า น้ำตามีหลายความหมาย เราให้น้ำตาเป็นการระบายออก”

LIPS: คนเราไม่จำเป็นต้องทำสิ่งที่ตัวเองชอบเท่านั้น

Molly: ใช่เลย แต่ตอนเราเคยคิดว่า เราจะต้องทำสิ่งนี้เท่านั้น อันนี้ไม่ใช่ฉัน ไม่ทำหรอก อีโก้น่ะแหละ พอเวลาผ่านไป คำว่า ‘มีวิชาเหมือนมีทรัพย์อยู่นับแสน’ มันใช่จริงๆ รู้ให้เยอะไว้สิดี เราอาจะรู้สึกว่าสิ่งนี้ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเราเลย แต่พอถึงจุดหนึ่ง เราสามารถเอาความรู้นั้นมาประยุกต์ใช้กับสิ่งที่เราชอบได้ อย่าทำเฉพาะสิ่งที่ตัวเองอยากทำ อย่าคิดว่าไม่อยากทำเลย ฉันจะไม่ทน เราเคยคิดแบบนั้น แต่ก็ทนมาแล้ว (หัวเราะ)  

LIPS: ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ จะทนไหม

Molly: ทนสิ เรารู้เลยว่าถ้าเราเจอความสำเร็จเร็วตั้งแต่ตอนนั้น เราอาจไม่มีวุฒิภาวะมากพอจะจัดการได้ ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว การจัดการกับปัญหา การฝ่าฟันอุปสรรค เราอาจจะยอมแพ้ไปแล้ว ปีนี้เราอายุ 39 ความสำเร็จเข้ามาตอนที่เราสุกงอมแล้วในระดับหนึ่ง และไม่ใช่ว่าความสำเร็จเข้ามาแล้วจบ มันมีหลายสิ่งที่เราต้องดีลอีกหลังจากนั้น หรือหนทางในการทำงานกว่าจะสำเร็จต้องใช้วิทยายุทธ์เยอะมาก

LIPS: ‘มอลลี่เก่งจัง เป็นศิลปินไทยคนแรกที่ได้ร่วมงานกับบริษัทของเล่นระดับโลก’ ทุกคนมองเห็นแต่สิ่งนี้ แต่เบื้องหลังคุณเป็นอย่างไร

Molly: แรกๆทำเองหมดทุกอย่าง เพราะเริ่มทำ Crybaby จากความไม่ตั้งใจว่าจะเป็นธุรกิจ แค่ว่าปล่อยไหลไปเรื่อยๆ วาดรูปเสร็จก็โพสต์ลงไอจี มีคนจีนส่งข้อความมาขอซื้อ เราไม่ขาย เขาตื๊ออยู่นาน จนเรายอมขาย วันแรกที่เราบอกว่าจะขาย คนจีนคนนั้นเอารูป Crybaby ไปโพสต์ในโซเชียลมีเดียของจีน เป็นกลุ่มแชตของเขา หลังจากนั้นมีคนออร์เดอร์เข้ามาถล่มทลายเลยงานชิ้นนั้นเป็น Original Design ทุกวันนี้ยังดีไซน์เดิม แต่ปรับให้สวยขึ้น อาจจะเพราะเราพอมีประสบการณ์ เลยมีอะไรคร่าวๆพอให้เรารู้ว่าต้องเริ่มต้นแบบไหน สิ่งที่ผ่านมาทั้งหมดมาช่วยเราไว้โดยที่ตอนแรกเราอาจจะไม่รู้ตัวหรอก 

LIPS: ระหว่างที่อยู่กับน้ำตาและ Crybaby สภาวะอารมณ์คุณเป็นอย่างไร

Molly: เราไม่ได้เศร้านะ และ Crybaby ไม่ใช่คนที่จมกับความเศร้าด้วย น้ำตามีหลายความหมาย เราให้น้ำตาเป็นการระบายออก รูปที่เห็นน่าจะเป็นความรู้สึกของเราหลังจากร้องไห้แล้ว คือเรารู้สึกดีขึ้นแล้ว เราไม่ได้ชวนคนมาเศร้า เราอยากชวนคนมาใช้เวลาเรียนรู้ความรู้สึกตัวเองเพื่อจะผ่านมันไปได้ มันน่าจะเป็นเรื่องฟีลกู๊ดมากกว่าด้วยซ้ำ

LIPS: การที่เราร้องไห้แสดงว่าร่างกายต้องการบอกให้เรารู้ว่า เรามีสิ่งสำคัญที่เรียกร้องให้เราหันไปมอง น้ำตาคือสัญญาณเตือน เช่น ขอความช่วยเหลือ ฉันเจ็บอยู่ ฉันดีใจ เหมือนไฟแดงวี้หว่อ

Molly: ใช่เลย หลายๆครั้งที่เราบอกตัวเองว่า ‘ฉันไม่เป็นไร’ พอมันบ่อยเข้าจะกลายเป็นว่าเราชินชากับมัน จนวันหนึ่งมันทะลักออกมา ไม่ว่าจะอารมณ์ไหนก็ไม่ควรกดไว้ ควรปล่อยออกมา ทำให้เป็นเรื่องปกติ ยิ่งความรู้สึกลบที่โดนเราปฏิเสธไปเรื่อยๆ มันจะยิ่งกัดกินจิตใจเรา คงจะดีกว่าถ้าเราปลดปล่อยมันออกมา

LIPS: คุณร้องไห้บ่อยไหม

Molly: ถ้าร้องก็จะแอบไปร้องไห้คนเดียว ไม่กล้าแสดงออกต่อหน้าคนอื่นเหมือนกัน

LIPS: แม้กระทั่งทำ Crybaby แล้วน่ะหรือ

Molly: เรายังติดกรอบสังคมว่าอย่าร้อง เราคิดว่าเป็นจุดที่ทำให้เราสร้าง Crybaby ให้ร้องไห้แทนเรา เพราะตัวเองก็ไม่กล้า ยังมีกำแพงสูงอยู่มาก เราพยายามเรียนรู้และลดกำแพงลง นิทรรศการแต่ละครั้ง เราบอกคนอื่นก็จริง แต่เราก็ตะโกนบอกตัวเองด้วยว่า มันโอเคที่จะร้องไห้

LIPS: เคยถามตัวเองไหมว่า แล้วทำไมเราไม่ร้องไห้ หรือเป็นระออโต้ไปแล้วว่า ถ้าน้ำตาจะมาต้อง ฮึบ! ไม่ร้อง 

Molly: เราเคยสังเกตตัวเองนะ ตอนเลิกกับแฟน เราไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าแฟนเลย

LIPS: แล้วมันจะรู้เรอะว่าเราเจ็บปวด

Molly: (หัวเราะ) เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก แม่จะเอ็ดว่าอย่าร้องไห้ ต้องเข้มแข็ง เราเป็นพี่คนโต มีน้องชาย ต้องดูแลทุกอย่าง ถ้าเสียใจก็ไม่มีใครปลอบอยู่ดี แม่ก็จะไม่มากอดหรือปลอบ เราต้องผ่านทุกอย่างให้ได้ด้วยตัวเอง มันคือสิ่งที่เราถูกปลูกฝังมาแบบนี้ ฉะนั้นการที่คนบอกเราไม่กี่ครั้งว่าการร้องไห้มันโอเค ก็อาจจะไม่ได้ซึมเข้าไปในใจเราได้มากพอ เราเลยพยายามทำ Crybaby เพื่อย้ำกับผู้คนว่า มันโอเคจริงๆ เหมือนกับที่เราพยายามบอกตัวเองอยู่

“ไม่เคยมีใครเอาปัญหามาให้เรา มีแต่คนบอกว่า ในทางใดทางหนึ่ง Crybaby ได้ช่วยเขาแล้ว

LIPS: ได้ฮีลตัวเองบ้างไหม หรือให้น้ำตาเราไหลไปบนหน้าน้องแทน

Molly: ฮีลได้ระดับหนึ่ง แต่ที่ฮีลจริงๆคือเวลาเจอคนที่มานิทรรศการ และเขาเข้าใจสิ่งที่เราต้องการจะสื่อ ไม่ได้มีใครมานั่งร้องไห้ใส่เรานะ แต่เหมือนรู้กันไปเอง เหมือนได้ตบไหล่กันโดยไม่ต้องพูดออกมา การผ่านไปด้วยตัวเองก็ส่วนหนึ่ง แต่การผ่านไปโดยมีคนอยู่เคียงข้างมันดีที่สุด ไม่เคยมีใครเอาปัญหามาให้เรา มีแต่คนบอกว่า ในทางใดทางหนึ่ง Crybaby ได้ช่วยเขาแล้ว

LIPS: เคยเข้าไปในกลุ่มซื้อขาย Crybaby บ้างไหม

Molly: เคยเข้าไปดู แต่ไม่ได้อยู่ในกลุ่ม (หัวเราะ) เอาจริงๆเราไม่ค่อยเล่นโซเชียล 

LIPS: รู้สึกอย่างไรที่เห็นน้องมูลค่าสูงมาก บางทีคนซื้อขายกันหลักแสน

Molly: นั่นคือกำไร สิ่งที่เราแฮปปี้ที่สุดคือการที่เราได้ทำสิ่งที่รัก และมีคนรักสิ่งนั้น เรื่องมูลค่าของงานเป็นกำไร ซึ่งอาจไม่ได้อยู่ตลอดไป เป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่ง เราได้กำไรแล้วแค่ได้ทำงานที่รัก 

LIPS: แม้ว่าคนที่ซื้องานเราจะไม่ได้รับแมสเสจที่เราอยากจะสื่อ หรือตรงกว่านั้นคือ ซื้องานเราเอาไว้เก็งกำไรตอนขายต่อ 

Molly: มันเป็นไปได้ เหมือนนกกินผลไม้ แล้วก็บินไปไหนต่อไหน เมล็ดพันธุ์ผลไม้อาจจะไปตกที่ไหนก็ได้ หรืออาจจะกลายเป็นป่า เราคิดว่าคล้ายๆกัน เขาก็อยู่ในขั้นตอนหนึ่งที่ช่วยกระจายแมสเสจที่เราต้องการจะสื่อ เขาอยู่ในระบบนิเวศที่ทำให้งานเราไปสู่ผู้คน และไม่ใช่ส่วนที่เราจะไปกังวลหรือรับมือ 

LIPS: Crybaby ทั้งหมดที่ทำมามีกี่คาแรกเตอร์

Molly: จำไม่ได้แล้ว แรกๆจดไว้นะ หลังๆมาเลิกจด มันเยอะมาก น่าจะหลักร้อย มีตัวเล็กตัวน้อย ทุกตัวมีชื่อนะ

LIPS: ที่ถามเพราะเห็นทุกตัวมีชื่อนี่แหละ มีความสามารถในการตั้งชื่อมาก

Molly: (หัวเราะ) แต่ละตัวมีเหตุผลในการร้องไห้ต่างกันไป ทุกตัวมีเรื่องราวเบื้องหลัง ไอเดียหลักๆมาจากเรา ทีมจะช่วยจัดการงานด้านอื่นๆ เช่น งานเพนติ้งจะมีทีมช่วยลงสีพื้นหลัง ลงสีงาน มีทีมดูแลเรื่อง Merchandise การขาย การติดต่อ การเงิน ซึ่งพาร์ตเหล่านี้ที่เราเรียนรู้ตอนทำงานบริษัท 

LIPS: ไอเดียเริ่มต้นจากอะไร วางแผนการทำงานอย่างไร ต้องออกงานใหม่ทุกเดือน เดือนละกี่ชิ้น ฯลฯ

Molly: PopMart (บริษัทอาร์ตทอยเบอร์ใหญ่ของโลกสัญชาติจีน) จะมีตารางงานคร่าวๆ ว่างานออกแบบของสินค้าที่จะวางช่วงนี้ต้องเสร็จเมื่อไร ส่วนอื่นๆ เช่น นิทรรศการ เราเป็นคนวางเอง เช่น ถ้ามีงานโครงสร้าง ก็ต้องเริ่มทำก่อน เพราะใช้เวลานานกว่าเพนติ้ง

LIPS: เห็นว่ามีแฟนๆต่างชาติบินมาดูนิทรรศการคุณโดยเฉพาะเลย 

Molly: เราอยากไปให้ถึงระดับโลกเลย ให้ Crybaby กลายเป็นหนึ่งในคาแรกเตอร์คลาสสิก ลองดูกันว่าเราจะไปได้ถึงจุดไหน อย่างบาร์บี้ก็ถูกออกแบบให้เป็นทอย รวมไปถึงมิกกี้เมาส์ สนูปปี้ เป็นคาแรกเตอร์คลาสสิก วันหนึ่งเราอาจจะไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว แต่มีคนจดจำงานของเรา หวังว่าจะมีคนเก็บผลงานของเราในวันที่เราไม่อยู่แล้ว

LIPS: มี Crybaby ตัวโปรดไหม

Molly: ออริจินัลตัวแรก เขาสร้างมาจากตัวเรา เป็นความ pure จริงๆ ตัวอื่นเราออกแบบเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง ทำให้เขามีคอนเซปต์แบบนั้นแบบนี้ แต่ตัวแรกไม่ได้ผ่านการออกแบบเลย เป็นอินเนอร์ล้วนๆ แฟนๆส่วนใหญ่ก็จะชอบออริจินัลกัน

“เราอยากไปให้ถึงระดับโลก ให้ Crybaby กลายเป็นหนึ่งในคาแรกเตอร์คลาสสิก”

LIPS: ทำงานเยอะขนาดนี้ เติม Input ให้ตัวเองอย่างไรบ้าง 

Molly: ที่ผ่านมาเราทำงานหนักมาก ไม่มีเวลาบาลานซ์ชีวิตเลย ตื่นมาทำงาน กิน อยู่ หลับ นอนกับงานตลอด ถ้ามีเวลานิดๆหน่อยๆ เราจะเปิดหนังดู ไปทำอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวกับศิลปะ หรือไปเที่ยวบ้าง เพราะเวลาบินไปเมืองนอกก็คือบินไปทำงาน ไม่มีเวลาเที่ยว คิดเรื่องงานตลอด พออยู่ที่ไทย เราทำนิทรรศการ 2 ครั้งติดกันก็ไม่มีเวลาพักเลย 

เราเข้าใจได้ว่าเวลาทำอะไรใหม่ๆ สองปีแรกเหมือนเป็นช่วงสร้างตัว ต้องทำงานหนักมากกว่าจะเข้าที่ เราเลยคิดว่าสองปีนี้เราให้กับนิทรรศการไปแล้ว หลังจากนี้จะพยายามบาลานซ์ชีวิต ไปเที่ยวบ้าง อ่านหนังสือ จริงๆเราชอบอ่านหนังสือมาก แต่ไม่มีเวลาอ่าน ไม่มีสมาธิด้วย งานจ่อตลอด 

LIPS: งานจะเริ่มก็ที่เรา เราเป็นเลข 1 จะเดินหน้าไปเลขอื่นไม่ได้เลยถ้าเราไม่เริ่ม 

Molly: ใช่ มีคนรองานจากเราอยู่ พอจบนิทรรศการคือเหนื่อยมาก มีบางวันที่ไม่ต้องทำงาน เรารู้สึกผิด (หัวเราะ) ผิดปกติไปจากชีวิตประจำวัน

“คนเห็นแต่ภาพตอนที่เราสำเร็จแล้ว แต่ตอนที่โดนอุปสรรคพุ่งชน เขาไม่เคยเห็น และมันใหญ่มากทุกครั้ง จนพูดได้เลยว่าเลิกทำไปเลยสบายกว่า”

LIPS: อาการหนักละ เป็นเวิร์กกะฮอลิก แล้วมีศิลปินหน้าใหม่มาถามไหมว่า เขาก็ทำงานหนัก เขาก็พยายาม ทำไมไม่ประสบความสำเร็จแบบมอลลี Crybaby 

Molly: เราอาจจะโชคดีที่เริ่มต้นด้วยดี แต่ระหว่างทางมีอุปสรรคใหญ่ๆเยอะมากที่ทำให้คนคนหนึ่งเลิกทำไปเลยก็ได้ โดนโกง ของเสียหาย ขาดทุน เราไม่เคยบอกใคร คนเห็นแต่ภาพตอนที่เราสำเร็จแล้ว แต่ตอนที่โดนอุปสรรคพุ่งชน เขาไม่เคยเห็น และมันใหญ่มากทุกครั้ง จนพูดได้เลยว่าเลิกทำไปเลยสบายกว่า ปีแรกที่เราทำ Crybaby เราทำงานหนักมาก นอนวันละ 2-3 ชั่วโมง เข้าโรงพยาบาลบ่อยมาก ร่างกายรับไม่ไหว เป็นทีก็หนักเลย เราผ่านปัญหามาเยอะมากนะ แต่ถ้าเรารักและตั้งใจ สุดท้ายเราจะฟื้นกลับมา 

LIPS: จุดที่บอกว่าโดนโกง ขาดทุน นี่ถึงจุดหมดตัวเลยไหม

Molly: เรียกว่าดราม่าเป็นพล็อตหนังเลย (หัวเราะ) แต่ถ้าเราไม่ทำ Crybaby เราก็ไม่เหลืออะไรให้รักแล้วนะ เพราะเขาคือสิ่งที่เรารักมาก เราเลยเลือกทำต่อ เพราะมีวูบที่เราท้อ จะไม่ทำแล้ว ลึกๆเราคิดว่ามันน่าจะไปต่อได้ พอเราหยุดสักแป๊บหนึ่ง ให้เวลาตัวเองคิด พรุ่งนี้ก็เช้าวันใหม่แล้ว ลองดูอีกสักตั้ง อีกอย่างคือเป็นลูกจ้างเขา หรือทำบริษัทตัวเอง เราลองมาหมดแล้ว ก็เหลือแค่การเป็นศิลปินที่ทำสิ่งที่เรารักนี่ละที่ยังไม่เคยทำ

เรามีวันนี้ได้ ไม่ใช่เพราะเราเริ่มต้นมาด้วยดี มันอยู่ที่ว่าถ้าระหว่างทาง เราไม่สู้ มันก็จบเลยนะ บางคนบอกว่าทำไมเรายังไม่สำเร็จเสียที ถ้าเขารักจริง ตั้งใจจริง เขาจะเข้าใกล้ไปเรื่อยๆแล้วนะ ไม่ว่าตอนจบจะเป็นยังไง มันจะพาเราไปอยู่ในจุดที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ 

Words: Suphakdipa Poolsap
Photos: Somkiat Kangsdalwirun

Related Articles

เว็บไซต์ของเราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้ เราได้อธิบายความหมายและวิธีการใช้คุกกี้ของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถเข้าใจแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือการเปิดเผย รวมถึงทางเลือกในการใช้คุกกี้ของเรา อ่านเพิ่มเติม