ตอนนี้กระแส Glamping กำลังมา แต่ทุกครั้งที่เราขับรถไปชื่นชมธรรมชาติ เราคงยังไม่ลืมไปว่า ก่อนจะมีโควิด ยังมีเด็กสาวตัวน้อยคนหนึ่งเคยเตือนผู้ใหญ่อย่างเราๆ ให้รับรู้ถึงปัญหาภูมิอากาศแปรปรวนจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ทุกกิโลเมตรที่ยานพาหนะพาเราผ่านแถวแนวต้นไม้สองข้างทาง คืออนุภาคคาร์บอนไดออกไซด์ที่ออกจากท่อไอเสีย ลอยขึ้นไปกัดกินชั้นบรรรยากาศ มองออกไปเบื้องหลังแนวป่า กระแสจิตลึกลับที่แผ่ออกมา ไม่ใช่เจ้าป่าเจ้าเขา แต่เป็นสายตาตัดพ้อชิงชังของ เกรต้า ธันเบิร์ก ชาวสวีเดนที่เป็นนักรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมมาตั้งแต่อายุ 15 (บัดนี้น้องอายุ 20 แล้ว) และความรู้สึกผิดต่อหมีขั้วโลกในใจเรา
รถ EV หรือ รถยนต์ไฟฟ้า เป็นหนึ่งในทางออกสำหรับนักท่องเที่ยวสายรักษ์โลกที่มี Guilty Pleasure อย่างเรา โดยปกติแล้วรถยนต์น้ำมันแบบเดิมๆ จะขับเคลื่อนด้วยการเผาไหม้เชื้อเพลิงในเครื่องยนต์ ทำให้เกิดมลพิษในรูปแบบของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ออกสู่สิ่งแวดล้อม ในขณะที่รถยนต์ไฟฟ้าจะใช้พลังงานจากแบตเตอรีลิเธียมไอออนหรือโซลิดสเตท โดยไม่ต้องมีการเผาไหม้เชื้อเพลิง ทำให้ไม่มีมลพิษทางอากาศหรือ CO2 เกิดขึ้นขณะขับเคลื่อน ซึ่งดูจะเป็นวิธีเดินทางที่สมเหตุสมผลกว่ามากสำหรับการไปสูดอากาศบริสุทธิ์จากธรรมชาติ แต่ยังมีอีกหลายเหตุผลที่รถไฟฟ้าเหมาะสำหรับการท่องเที่ยวแบบค้างแรมกลางแจ้ง
ข้อแรก คือ การนอนในรถ การนอนในรถไม่ใช่ของใหม่ ที่ผ่านมาก็มีนักตั้งแคมป์หลายคนที่นำรถยนต์แบบใช้น้ำมันขนาดใหญ่มาตกแต่งช่วงท้ายบริเวณเบาะหลังและห้องเก็บสัมภาระ ให้กลายเป็นที่นอนสไตล์ Glamping แต่ไม่ว่าจะสวยงามเหมาะกับการถ่ายคอนเทนต์แค่ไหนก็ตาม เวลานอนเข้าจริงๆ ก็ไม่สามารถติดเครื่องยนต์เปิดแอร์ได้ ต้องอาศัยพัดลมระบายอากาศและความเย็นตามธรรมชาติที่ถ่ายเทจากช่องหน้าต่างที่แง้มทิ้งไว้ บางคนถึงขนาดติดแอร์บ้านและระบบไฟฟ้าเพิ่มเพื่อให้สามารถเปิดแอร์ได้โดยไม่ต้องสตาร์ทรถ
สาเหตุก็คือ รถยนต์น้ำมันเวลาติดเครื่อง กระบวนการเผาไหม้นอกจากจะปล่อยก๊าซ CO2 ออกมาแล้ว ยังมีคาร์บอนมอนอกไซด์ ( CO ไม่มี 2) ออกมาอีกด้วย ซึ่งก๊าซตัวหลังนี่ละ ที่จะทำให้เราหลับสบายจนไปตื่นที่โลกหน้า และเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้การนอนในรถที่ติดเครื่องอยู่เป็นอันตรายมาก แต่ในทางกลับกัน รถยนต์ไฟฟ้าไม่มีการเผาไหม้ใดๆเกิดขึ้นในเครื่องยนต์ ทำให้ไม่มีคาร์บอนมอนอกไซด์เกิดขึ้น รถ EV จึงทำให้ฝันที่จะนอนในรถของหลายคนเป็นจริงขึ้นมาได้
รถยนต์ EV ชั้นนำอย่าง Tesla มี Camp Mode ไว้ให้ติดเครื่องนอนในรถได้โดยเฉพาะ พร้อมจัดเต็มฟังก์ชั่นอำนวยความสะดวกสบายครบครันสำหรับพักผ่อนในรถอย่างเต็มที่ สามารถพับเบาะหลังขยายพื้นที่ให้วางที่นอนได้ มีที่นอนสูบลมและแผ่นปูรองนอนเป็นออปชันเสริมที่วางพอหมาะพอเจาะกับตัวรถ หน้าจอโหมด Camping ของรถก็มีฟังก์ชั่นตั้งแต่ฟังเพลงเล่นเกมแก้เหงาก่อนนอน จนถึงภาพจำลองกองไฟพร้อมเสียงฟืนลั่นเปรี๊ยะๆ เป็น White Noise ขับกล่อมให้หลับสบายด้วย
ข้อดีอีกอย่างของการนอนในรถ Tesla คือฟังชั่น Sentry Mode ที่สามารถจับภาพรอบคันรถ ด้วยเซนเซอร์จับการเคลื่อนไหวและสามารถเปิดดูย้อนหลังได้ ช่วยเรื่องความปลอดภัย ให้เราได้รู้ว่าขณะนอนหลับอยู่ มีใครหรือตัวอะไรมากล้ำกรายบริเวณแคมป์ของเราบ้าง ช่วยให้อุ่นใจมากขึ้น
เหตุผลอีกข้อ ที่ทำให้รถ EV เหมาะแก่การตั้งแคมป์ก็คือ ความสามารถในการพ่วงไฟฟ้าออกมาใช้ในแคมป์ ยิ่ง Glamping ต้องมีการจัดไฟให้เหมาะกับการถ่ายคอนเทนท์ ไฟราว LED สร้างบรรยากาศต้องมาเต็ม ไหนจะอุปกรณ์ถ่ายทำอย่างกล้อง โทรศัพท์ โกโปร โดรน และแกดเจ็ททั้งหลายแหล่ ที่ต้องชาร์ตให้พร้อมเก็บภาพอยู่เสมอ ยังไม่รวมต้องพ่วงแลปทอปมาเช็กฟุตเตจอีก ซึ่งพลังงานไฟฟ้าจากตัวรถก็ช่วยให้เรามีทางเลือกได้มากขึ้น หากลานกลางเต๊นท์มีระบบพ่วงไฟฟ้าไม่เพียงพอ
เหตุผลต่อมา คือระบบขับขี่ที่ทันสมัยของรถ EV ที่มาพร้อมกับหน้าจอขนาดใหญ่และโหมดการขับขี่หลายแบบให้เหมาะกับสไตล์การขับรถทางไกลของแต่ละคน บางยี่ห้อมาพร้อมระบบ GPS ในตัว หรือต่อให้ไม่มี ก็สามารถรองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนได้หลากหลาย และที่ขาดไม่ได้คือฟังก์ชั่นขับขี่กึ่งอัติโนมัติในรูปแบบต่างๆ ซึ่งช่วยลดความเหนื่อยล้าของคนขับได้ระดับหนึ่ง
คุณสมบัติแต่ละข้อของรถไฟฟ้าและค่านิยมที่เปลี่ยนไป ช่วยเปลี่ยนความหมายของความหรูหราในการท่องเที่ยวกลางแจ้งให้ปลี่ยนไปจากเดิม
ความหรูหราในการเข้าป่าตั้งแคมป์ในสมัยก่อน อาจจะเป็นการแสดงอำนาจย้ำยีธรรมชาติยังไงก็ได้แบบไม่แคร์ใคร จะยิงเสือดำผลาญน้ำมันเท่าไรก็ได้ แต่ทุกวันนี้ความหรูหราของคนรุ่นเรา คือ ความสะดวกสบาย ปลอดภัย และใส่ใจที่จะรักษาสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน
Words: Roongtawan Kaweesilp
ข้อมูลจาก
