Search
Close this search box.
Search
Close this search box.
HOME / Interview / People

‘ฟลุ๊คกะล่อน’ ยูทูเบอร์ทรานส์รุ่นบุกเบิกแห่ง ‘โลกของคนมีหนวด’ อดีตเด็กชายที่โตมาในค่ายทหาร

Interview / People

แม้การก้าวเข้าสู่สังคมออนไลน์ของ ฟลุ๊ค -​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​​ ธรรณพ แสงโอสถ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘ฟลุ๊คกะล่อน’ เจ้าของช่องโลกของคนมีหนวดที่มีผู้ติดตามกว่า 6 แสนคนในเฟซบุ๊ก และอีกกว่าล้านคนในยูทูบ จะเข้ามาแบบจับพลัดจับผลูไม่ทันรู้ตัว แต่ฟลุ๊คก็ไม่ปล่อยให้โอกาสนั้นหลุดลอยไป

โลกโซเชียลที่ใครหลายคนบอกว่า ‘ดังไว ดับไว’ แต่ 10 ปีที่ผ่านมา ยาวนานพอที่จะบอกได้ว่า การคงอยู่และเติบโตของเขาคงไม่ได้เพราะความฟลุ๊คอย่างชื่อตัวเป็นแน่

LIPS: เล่าถึงชีวิตในกรมทหารหน่อย

ฟลุ๊ค: พ่อเป็นลูกจ้างประจำ เราอยู่บ้านพักสวัสดิการทหาร ถามว่าชีวิตตอนเด็กเป็นยังไง ต้องบอกว่าครอบครัวหนูอบอุ่นมาก ไม่เคยโดนความเป็นทหารมาบังคับอะไรเลย สิ่งที่เข้มงวดอาจจะมีแค่ 8 โมงเช้ากับ 6 โมงเย็นต้องยืนเคารพธงชาติ ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ ต้องหยุดแล้วยืนนิ่งจนเพลงชาติจบ และหลัง 3 ทุ่มต้องเข้าบ้านแล้ว จะไม่มีการจับกลุ่มสังสรรค์เสียงดัง แต่เด็กที่โตมาในกรมทหาร ทุกคนจะถูกปลูกฝังว่า โตขึ้นต้องเป็นทหารนะ

LIPS: รวมถึงบ้านเราด้วยไหม

ฟลุ๊ค: เป๊ะเลยค่ะ อาจจะเข้มข้นกว่าด้วยซ้ำ เพราะพ่อหนูเป็นแค่ลูกจ้างประจำ เขาใฝ่ฝันอยากให้ลูกเป็นนักเรียนเตรียมทหาร เพราะคิดว่าชีวิตสบายแน่นอน มีสวัสดิการ หนูเองก็โลกแคบมาก ไม่รู้เลยว่าโลกนี้ยังมีอาชีพอื่นอีกนะ โตมาก็เห็นแต่ทหาร ทหารเกณฑ์ ทหารยศเล็ก ยศใหญ่ โรงเรียนก็อยู่ติดกับกรมทหาร หนูรู้แค่ว่า เป็นทหารแล้วเลี้ยงพ่อแม่ได้ มีบ้านพักให้

LIPS: ชีวิตก็มุ่งเป้าสู่การเป็นทหาร

ฟลุ๊ค: หนูรู้แค่ว่านักเรียนเตรียมทหารจะไม่ต้องเรียน ม.ปลาย ไม่ต้องเรียนมหาลัย ฉะนั้น ตอนเราเรียน ม.3 ต้องกวดวิชาเพื่อสอบเข้าเตรียมทหารให้ได้ แม่ต้องไปกู้เงินมาเพื่อให้หนูได้เรียนพิเศษ หมดเงินไปเยอะมาก พอสอบเสร็จหนูรู้ตัวเลยว่าเราสอบไม่ได้แน่นอน เพราะหัวเราไม่ไป แล้วก็สอบไม่ได้จริงๆ

LIPS: แล้วจู่ๆ ประตูสู่โลกโซเชียลก็แง้มให้เราอย่างไม่รู้ตัว

ฟลุ๊ค: ตอนปิดเทอม ม.3 หนูลงรูปตัวเองใส่ชุดนักเรียนปกติเลย มีคนเข้ามาไลค์มาแชร์ และ DM มาเยอะมาก จนนึกว่าถูกแฮ็กหรือเปล่า ก็มานั่งไล่ดู มีคนแชร์รูปเราเป็นหมื่นเลย ไลค์กัน 7-8 หมื่นแล้ว จนทุกวันนี้ถามตัวเองตลอดก็ยังไม่รู้ว่า ทำไมผู้คนเกิดนึกอยากแชร์รูปเราพร้อมๆ กันขึ้นมา เลยกลายเป็นที่รู้จักขึ้นมา หลังจากนั้น ลงรูปอะไรก็มียอดไลค์ 2-3 หมื่นตลอด

LIPS: เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเราในช่วงนั้นบ้าง

ฟลุ๊ค: หนูกลายเป็นคนดังชั่วข้ามคืน ตอนนั้นเป็นยุคบุกเบิกของเฟซบุ๊ก หนูน่าจะเป็นเน็ตไอดอลรุ่นแรกๆ ก็เริ่มมีสินค้ามาจ้างเรารีวิว ส่วนใหญ่เป็นครีมแบรนด์ตลาดหรือแบรนด์ที่ขายในเน็ต หนูแค่ถ่ายรูปถือผลิตภัณฑ์ ก็ได้รูปละ 500 บาท ดีใจมากผสมกับงงๆ ว่าเป็นไปได้ยังไง เวลามีลูกค้าติดต่อมา ก็จะบอกเพื่อน ‘เฮ้ย กูได้อีกแล้ว’ คือเงินมาง่ายมาก เดือนนึงหนูได้เงิน 5-6 พันถึงหมื่นเลยก็มี

LIPS: เคยถามลูกค้าไหมทำไมถึงเลือกเรา

ฟลุ๊ค: ตอนนั้นแค่ใครดัง มีชื่อเสียง ก็ได้งานแล้ว เพราะเขาต้องการให้คนดังถือสินค้า ให้คนรู้จักว่าสินค้านี้แบรนด์อะไร ไม่ได้หวังยอดขายจากเรา หนูเลยไม่กดดันว่าต้องมียอดซื้อหลังจากเรารีวิวนะ เป็นแค่การแนะนำให้คนรู้จักสินค้ามากกว่า ตอนนั้นใครจ่ายเงินจ้างให้ทำอะไรได้หมด จะให้ถ่ายรูปคู่ผลิตภัณฑ์ ให้พูดว่าใช้มาแล้ว 3 เดือน ปีนึงได้หมด ทำให้ได้หมดทุกอย่าง

LIPS: รีวิวในลุคแมนๆ เลยเหรอ

ฟลุ๊ค: ใช่ค่ะ ต้องบอกว่าหนูรู้ตัวช้ามาก ทั้งที่ที่บ้านก็ไม่ได้ห้ามเป็นตุ๊ดเป็นแต๋วนะ เพราะหนูเองก็ไม่ได้เป็นคนมีจริตสะบัดสะบิ้งด้วย ชีวิตเด็กในกรมทหาร มีแต่เพื่อนผู้ชาย 100% วันๆ คือเตะบอล เล่นตะกร้อ วิ่ง ไม่ได้อึดอัดหรือรู้สึกว่าถูกบังคับให้ทำ แต่ถ้าไม่ทำก็ไม่รู้จะทำอะไรมากกว่า เพราะเตะบอลยังได้สนุกกับเพื่อน ดีกว่าจับเจ่าอยู่บ้าน อาจเพราะเราอยู่ในกรมทหาร ไม่รู้ว่าโลกนอกกรมมีกิจกรรมอย่างอื่นด้วย เพื่อนชวนไปเตะบอลก็เลยไป แต่ลึกๆ อยากชวนเพื่อนทำกิจกรรมอื่นบ้าง เพราะหนูกลัวเจ็บ กลัวล้ม แต่จะไม่เล่นก็กลัวเพื่อนมองเราแปลกแยก หนูรีวิวสินค้าในตอนนั้น ก็พยายามหาตัวอย่างดูท่าโพสแล้วก็ทำตามนั้น

“กลัวโดนล้อ เพราะเคยเห็นคนที่โดนล้อว่าอีตุ๊ดตอน ม.1 เลยไม่อยากโดนแบบนั้น”

LIPS: ถ้าอย่างนั้นแล้วมารู้ตัวเองตอนไหนว่าเราไม่ได้อยากเป็นผู้ชาย

ฟลุ๊ค: ตอน ม.ปลาย เพื่อนยกแก๊งไปตีกับคนอื่น หนูก็ไปกับเขา แต่ก็วิ่งตามไปหลังๆ ตอนนั้นเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่ผู้ชายหรือเปล่านะ เพราะเราไม่ได้อยากทำ แต่กลัวโดนล้อ เพราะเคยเห็นคนที่โดนล้อว่าอีตุ๊ดตอน ม.1 เลยไม่อยากโดนแบบนั้น ก็พยายามทำตัวปกติที่สุด อีกอย่างหนูว่าน่าจะเพราะได้รู้จักคนเยอะขึ้น เล่นโซเชียลมากขั้น เป็นคนดังมีชื่อเสียงละ เวลาเข้าห้องน้ำก็จะชอบส่องกระจกทำท่าทำทาง ก็เริ่มเอ๊ะกับตัวเองว่า ‘หรือเราจะไม่ได้ชอบผู้หญิง’ หลังจากนั้น พ่อเสีย หนูก็บวชหน้าไฟให้พ่อ แล้วหนูเริ่มคุยกับแฟนมาสักพักละ คือใจอยากลองดูว่าเราชอบแบบนี้ใช่ไหม ปรากฏว่าเราแฮปปี้กับการคุยกับผู้ชายมาก เลยมั่นใจล่ะก็เลยไปบอกเพื่อน

LIPS: ปฏิกิริยาที่ได้รับกลับมา

ฟลุ๊ค: หนูไม่ได้คิดอะไรหรือเตรียมใจว่าจะโดนเพื่อนล้อไหม รู้สึกมีความสุขที่เราค้นพบตัวเอง กลายเป็นว่าเพื่อนทุกคนแค่ตกใจ เพราะไม่มีใครคิด และไม่ได้รู้สึกระแคะระคายมาก่อน ทุกคนรู้พร้อมกันจากปากหนู นั่นคือเหตุการณ์เมื่อ 8-9 ปีที่แล้วที่สังคมยังไม่ได้เปิดรับเท่าตอนนี้ แต่เพื่อนทุกคนโอเคมาก หลังจากนั้นรู้สึกว่าตัวเองอิสระที่จะทำอะไรได้มากขึ้น เพราะพ่อเสียแล้ว เพื่อนก็ยอมรับ จากที่เคยแต่งตัวหล่อทุกวัน รุ่งขึ้นหนูก็เริ่มใส่ขาสั้นละ

LIPS: เป็นช่วงที่ชีวิตจริงแฮปปี้แต่กระแสโลกโซเชียลถูกกระหน่ำเละ

ฟลุ๊ค: หลังพ่อเสียหนูพาแม่ย้ายออกจากกรมทหารมาเช่าบ้านอยู่ รู้สึกว่าตัวเองจะทำอะไรก็ได้แล้ว เพราะเราดูแลตัวเอง ดูแลแม่ได้ หนูเริ่มแต่งหน้าแต่งตัวมากขึ้น แต่ผมยังสั้นอยู่นะ ก็คิดว่าจะทำคลิปอะไรดี หนูได้ยินเขาพูดกันว่า เป็นเน็ตไอดอลต้องรีบกอบโกยนะ เพราะดังไว ดับไว แล้วหนูอยู่มา 2 ปีแล้ว และตอนนี้เราก็ไม่ได้เป็นผู้ชายเหมือนแต่ก่อน ทาร์เกต ที่เคยชอบเราตอนนั้นอาจจะไม่ได้ชอบแล้ว คิดจะทำคลิปสายตลก เพราะตอนทำ ‘สายจี้’ กับเพื่อนๆ ก็เคยทำแนวนี้มา พอดีใกล้วันเด็ก เลยไปซื้อผ้าอ้อมกับเสื้อเด็กตัวเล็กๆ แล้วมายัดใส่เพื่อถ่ายรูป ‘สวัสดีวันเด็ก’ ตั้งใจจะล้อเลียนเทศกาลต่างๆ ให้ตลก แค่นั้นเลย เพื่อให้คนแชร์ เราจะได้มีงาน แล้วงานก็เข้าจริงๆ (หัวเราะ)

LIPS: ตั้งใจให้ถูกด่าเพื่อสร้างกระแสด้วยไหม

ฟลุ๊ค: โพสต์แรกน่ะตั้งใจ เพราะหนูพอรู้แล้วว่าลงแบบไหน คนจะให้ความสนใจ แบบไหนคนจะด่า ต้องบอกตามตรงว่าทำแบบนั้นเพื่อปากท้อง และหนูคิดว่าสิ่งที่ทำไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร ไม่ได้ทำผิดอะไรต่อใคร ใครจะด่าก็ช่าง หนูมองว่าคลิปมันตลกดี แม้จะมีคนส่วนน้อยที่คิดเหมือนเรา

LIPS: นั่นคือที่มาของคอมเมนต์ ‘อวสานวันเด็ก’ ที่เป็นปฐมบทกระแสวิจารณ์รุนแรงของเรา

ฟลุ๊ค: ใช่ค่ะ เป็นที่มาของการโดนด่าตั้งแต่นั้นมา ตอนนั้นเป็นเรื่องใหญ่มากติดเทรนทวิตเตอร์อันดับ 1 ด้วย หลังจากนั้นทุกเทศกาลที่หนูลง คนจะมาเมนต์ประมาณ 4-6 หมื่น ไลค์อีกเป็นแสน และก็แชร์กันเยอะมาก หนูรู้ตั้งแต่ลงวันเด็กล่ะว่ามีคนด่า พอเทศกาลต่อไป ลงไปคนก็ด่าอีก แต่หนูไม่สนใจแต่แรกอยู่แล้ว ก็ลงเลย แล้วก็แค่ปิดโทรศัพท์ เป็นแบบนั้นคุณพี่ สื่อชอบถามว่าผ่านสถานการณ์นั้นมาได้ยังไง เพราะเป็นกระแสแรงมาก หนูตอบสั้นๆ ว่า ‘หนูไม่ได้อ่านค่ะ’

“คนด่าหนูเป็นหมื่นเป็นแสนในโซเชียล แต่ในชีวิตจริงที่หนูไปกินข้าวกับเพื่อน มีคนที่เจอหนูขอเข้ามาถ่ายรูปด้วยวันนึงเป็นร้อย”

LIPS: เลือกที่จะก้าวข้ามแล้วทำต่อ เป็นคนอื่นอาจจะถอดใจเลิกทำไปเลย

ฟลุ๊ค: ที่หนูไม่อ่านเพราะรู้ว่าเป็นคอมเมนต์ที่เข้ามาด่า แต่มันแปลกตรงที่คนด่าหนูเป็นหมื่นเป็นแสนในโซเชียล แต่ในชีวิตจริงที่หนูไปกินข้าวกับเพื่อน มีคนที่เจอหนูขอเข้ามาถ่ายรูปด้วยวันนึงเป็นร้อย เลยทำให้หนูรู้สึกว่า ไม่ใช่ทุกคนที่ไม่ชอบเรา และเราก็ทำให้ทุกคนชอบเราไม่ได้ คนรอบตัวจะรู้ว่าหนูเป็นคนยังไง คนเหล่านี้จะคอยซัพพอร์ตหนูในช่วงเวลานั้น พอหนูลงคลิปไป เขาจะชวนไปทำโน่นทำนี่ จะได้ไม่ต้องสนใจคอมเมนต์นั้น และก็ไม่มีใครเอาข้อความพวกนั้นมาบอกหนูด้วย แต่ทุกวันนี้หนูก็มีเข้าไปอ่านบ้าง เห็นแล้วก็ตลกดีค่ะ

LIPS: จากเน็ตไอดอลคนดังมีคนติดตาม 1.6 ล้านคนในเฟซบุ๊กตอนนั้น ตัดสินใจไปเริ่มนับหนึ่งในยูทูบ

ฟลุ๊ค: คนอาจเข้าใจว่าหนูเห็นโอกาสแต่จริงๆ แล้วหนูเห็นความผิดพลาดต่างหาก เพราะในเฟซบุ๊กหนูทำรีวิวสินค้ามาตลอด เงินมางานไป จนวันหนึ่งมีการจับกุมสินค้าผิดกฎหมาย หรือสินค้าที่ไม่มี อย. หนูดูข่าวแล้วเห็นว่าเป็นแบรนด์ที่มาจ้างเราเยอะมากกกก เกินครึ่งเลย งานที่เซ็นสัญญาไว้ เมื่อแบรนด์ถูกจับ ทุกอย่างต้องยกเลิกหมด เงินที่ได้มา 3 แสน 5 แสน ล้านนึง ก็ต้องคืนเขาหมด จากที่เคยมีเงิน 15 ล้าน เหลือติดตัวอยู่เกือบล้าน หนูย้อนมองตัวเอง เรารับงานโดยไม่เคยสแกนสินค้าเลยว่าเป็นยังไง สิ่งที่เราทำเหมือนหลอกแฟนคลับ หลอกคนที่ดูรีวิวเรา เพราะเราไม่เคยใช้จริงเลย แต่พูดว่าเราใช้ เลยคิดว่าจะหยุดกับเฟซบุ๊กละ

LIPS: ทุ่มหมดหน้าตัก เพราะมั่นใจในความดังของตัวเอง

ฟลุ๊ค: หนูใช้เงินประมาณ 5 แสนซื้อกล้อง ไฟ และอุปกรณ์ถ่ายคลิปทั้งหมด ตอนนั้นประมาณปี 2560 เป็นช่วงต่อจากที่โดนด่าในเฟซบุ๊กเลยย้ายมาทำยูทูบ คิดว่าในเฟซบุ๊กเรามีผู้ติดตามล้านหก ถามหน่อยว่า เราคนดังทำคลิป ทำไมจะไม่มีคนดู แค่นี้มันง่ายมาก หนูลงทุนด้วยความมั่นใจเลย เพราะเราคือคนดัง ตอนนั้นหนูคุยกับแฟนว่า ต่อไปเราจะทำคลิปอะไร จะต้องใช้จริง ลองจริงเท่านั้น โดยเน้นเป็นเครื่องสำอาง เพราะหนูชอบแต่งหน้า พอปล่อยคลิปแรกรีวิวลิปสติกเท่านั้นแหละ ผ่านไปเดือนนึงละ มียอดคนดู 400 วิว ไม่เป็นไร คลิปต่อไปก็เปลี่ยนเป็นรีวิวแป้งรองพื้น ทำเหมือนมีลูกค้ามาสปอนเซอร์ แต่จริงๆ เราลงทุนซื้อมารีวิวเอง มีคนดูเพิ่มแต่ก็อยู่แค่ 1-2 พัน ยอดวิวเป็นอย่างนั้นอยู่ 6-8 เดือน

“จริงๆ หนูเป็นคนขี้อาย พูดน้อย ไม่แต่งตัวโป๊ ไม่ค่อยกล้าทำอะไรต่อหน้าคนอื่น แต่ในโลกโซเชียลคือสิ่งที่หนูสร้างขึ้นเพื่อให้เกิดกระแส”

LIPS: อะไรทำให้ผ่านวิกฤตนั้นมาได้

ฟลุ๊ค: vlog ค่ะ หนูเห็นฝรั่งชอบทำ เลยลองทำบ้าง เป็น vlog ชีวิตหนูตั้งแต่ตื่นนอนยันเลิกเรียนเลย ตัดต่อเอง เพราะเราไม่มีเงินจ้างทีมงาน ปรากฏว่า 1 วันมีคนดู 5 หมื่นคน แล้วหลายคนก็เมนต์ทำนองเดียวกันว่า ‘อ้าว นี่ฟลุ๊คกะล่อนเหรอเนี่ย’ ‘ตัวจริงเป็นแบบนี้เหรอ’ ‘ฟลุ๊คกะล่อนตัวจริงน่ารักมาก’ ‘ทำไมตัวจริงดูใสจัง ไม่เห็นเหมือนในเฟซบุ๊กที่เคยดูเลย’ คนดูได้เห็นไลฟ์สไตล์หนูจริงๆ เพราะหนูตัดต่อแทบไม่เป็นเลย ในคลิปเลยเรียลมากๆ แทบจะเป็นแบบถ่ายต่อๆ กันเลย จริงๆ หนูเป็นคนขี้อาย พูดน้อย ไม่แต่งตัวโป๊ ไม่ค่อยกล้าทำอะไรต่อหน้าคนอื่น แต่ในโลกโซเชียลคือสิ่งที่หนูสร้างขึ้นเพื่อให้เกิดกระแส แต่ชีวิตจริงหนูไม่ได้เป็นแบบนั้น

LIPS: บอกตัวเองยังไงเมื่อต้องทำสิ่งที่ตรงข้ามตัวเองสุดขั้วในโลกโซเชียล

ฟลุ๊ค: หนูจะอยู่กับแฟนแค่สองคนตอนเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วหนูจะพูดตลอดด้วยคำเดิมๆ ว่า ‘จะให้ใส่จริงเหรอ’ พอถ่ายเสร็จก็จะเปลี่ยนชุดแล้วออกจากห้องเลย แล้วหนูจะไม่ดูตัวเองในโซเชียลเลย เหมือนนักแสดงที่เล่นละครที่ต้องสวมบทตัวละครนั้นๆ ถ้าเพื่อนเปิดดูคลิปหนู แล้วเราอยู่ด้วย ก็จะตะโกนบอกเพื่อนว่า ‘อย่าเปิดๆ’ เพราะหนูอายมาก ใครอย่ามาเปิดให้เห็นหรือให้ได้ยินนะ แต่พอทำ vlog นี่คือตัวตนหนูจริงๆ กลายเป็นคนเห็นชีวิตจริงหนูแล้วเริ่มชอบ

LIPS: คนสนใจดู vlog เพราะชื่อเสียงเราด้วยหรือเปล่า

ฟลุ๊ค: หนูกล้าพูดเลยว่าน้อยมาก เพราะคนที่ติดตามหนูในแต่ละแพลตฟอร์มเป็นคนละกลุ่มกันเลย อย่างเฟซบุ๊กก็จะค่อนข้างแมส คอมเมนต์ตามกระแส ใครเกลียดใคร ด่าด้วย เน้นสนุกปาก แต่ถ้าเป็นยูทูบจะเป็นกลุ่มคนมีการศึกษาหน่อย คอมเมนต์แบบสร้างสรรค์ มีพลังบวกให้กัน ที่คนดูสนใจ vlog หนูน่าจะเพราะคนติดภาพว่าหนูต้องแต่งตัวแรง มั่นใจ กล้าแสดงออก ตะโกนเสียงดัง ซึ่งเป็นภาพในเฟซบุ๊ก แต่พอเห็นในยูทูบ ‘อ้าว นี่คนเดียวกันจริงๆ เหรอ’ ทำให้มีคนดูเริ่มติดตาม vlog หนู แล้วก็มีทักว่า ‘วันนี้แต่งหน้าสวยจัง สอนหน่อย’ หนูเลยเริ่มทำคลิปสอนแต่งหน้า ทำได้ 3-4 คลิป คนดูเริ่มขยับจากหลักพันเป็นหลักหมื่น พร้อมๆ กับที่เริ่มมีลูกค้าติดต่อมา ผ่านไปปีกว่าหนูมียอดผู้ติดตามในยูทูบหลักแสน

“หนูทำงานในโลกโซเชียลมา 10 ปีแล้ว ตั้งแต่อายุ 15 จนปีนี้ 26 แล้ว ชื่อฟลุ๊คกะล่อนก็ยังไม่หายไปไหน”

LIPS: มีจุดไหนในยูทูบที่รู้สึกว่าประสบความสำเร็จ

ฟลุ๊ค: หนูอยู่กับแฟนตลอดเลยชวนเขาแต่งหน้าให้หนู ปรากฏว่าคนดูล้านวิว หนูเลยคิดว่างั้นต้องเอาคอนเทนต์นี้เป็นหลักละ แต่แฟนเตือนว่า อย่าลงบ่อย เพราะถ้าลงบ่อยจะไม่พิเศษ ให้ลงสองอาทิตย์ครั้ง หรือเดือนละครั้งพอ หนูถามว่าทำไมล่ะ เขาตอบหนูว่า ไม่ต้องคิดไรเยอะ ไม่ต้องศึกษาหรืออ่านหนังสือกลยุทธ์ไรเลย เราเป็นคนทำคลิปก็จริง แต่เราก็ส่องคลิปคนอื่น ติดตามช่องของคนอื่นเหมือนกัน ลองนึกจากตัวเอง

ถ้าช่องนี้ลงคลิปทุกวัน จะรอดูไหม ก็ไม่ เพราะมีให้ดูทุกวัน แต่ถ้าลงเดือนละครั้ง เราจะอยากรอดู เหมือนละครแต่ละเรื่องก็มีวันฉายต่างกัน แฟนละครก็จะรอดูเรื่องที่ชอบ หนูก็ทำตาม ลงเดือนละครั้ง และทุกคลิปก็ได้ยอดล้านวิวทุกครั้ง แป๊บเดียวผู้ติดตามกลายเป็น 3 แสนละ จากปีแรกแสนนึง พอปีที่สองยังไม่ถึงปีได้ 3 แสนละ คนดูน่าจะชอบความน่ารักของคู่เรา เพราะเราชอบเถียงชอบตีกันตอนแต่งหน้า

LIPS: เป็นอภิชาตแฟนที่เป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่ช่องด้วย

ฟลุ๊ค: แฟนคลับที่ติดตามหนูจะรู้ว่า ชีวิตหนูที่เปลี่ยนดีขึ้นมาได้ 60% มาจากแฟน หนูเป็นคนแต่งตัวไม่เป็น แต่งหน้าได้อย่างเดียว ทุกวันนี้แฟนดูแลเรื่องการแต่งตัวให้ ทั้งชุดอยู่บ้าน ชุดไปเที่ยว เวลาออกงานเขาจะทำผมให้ เพราะเขาชอบแฟชั่น ชอบคัลเจอร์เมืองนอก ชอบการใช้ชีวิตของฝรั่ง ความคิดอ่าน การแต่งตัว การเป็นอยู่ เขาดูเทรนด์เมืองนอกแล้วมาบอกหนูว่าควรแต่งตัวยังไง รูปหนูทั้งในเฟซบุ๊กและยูทูบ เขาเป็นคนถ่ายเป็นคนแต่งรูปให้ หนูพูดกับคนรอบข้างและทุกรายการว่า เขาคือผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของหนู

LIPS: ความสำเร็จในยูทูบเป็นอย่างที่หวังไหม

ฟลุ๊ค: ก็เป็นไปในทางที่ดี พอ 3 ปีมีผู้ติดตามทะลุ 1 ล้าน ดีใจมากๆ แต่ตอนนั้นคนก็เริ่มย้ายไป TikTok ยอดในยูทูบเริ่มตกละ หนูขอบคุณแฟนคลับทุกคน เพราะส่วนใหญ่จะเน็ตไอดอล ยูทูบเบอร์ บล็อกเกอร์ อินฟลูเอนเซอร์ จะใช้ชื่อเรียกอะไรก็มักอยู่ในวงการ 2-3 ปีก็ถือว่าเยอะแล้ว แต่หนูทำงานในโลกโซเชียลมา 10 ปีแล้ว ตั้งแต่อายุ 15 จนปีนี้ 26 แล้ว ชื่อฟลุ๊คกะล่อนก็ยังไม่หายไปไหน หนูดีใจมาก ไม่รู้จะตอบแทนทุกคนยังไง

LIPS: คิดว่าอะไรทำให้เรายังอยู่ได้ เพราะเป็นวงการที่คนในอยากอยู่ คนดูอยากเข้า

ฟลุ๊ค: หนูไม่ทราบเลย ส่วนตัวก็แค่ทำในสิ่งที่ชอบมาเรื่อยๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเรายังมีชื่อเสียง ไม่กล้าบอกว่า เพราะฉันเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะ ณ แต่ละช่วง เราเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตั้งแต่เป็นผู้ชาย จนมาเริ่มแต่งหน้าแต่ก็ยังผมสั้น เริ่มถ่ายรูปเซ็กซี่แต่หน้ายังเป็นผู้ชายอยู่ เริ่มเป็นนางแบบ จนวันนี้ที่มาในลุคใหม่ คนก็ยังสนใจอยู่ ขอบคุณสื่อที่ยังสนใจหนูอยู่ทุกวันนี้ นี่คือความภูมิใจในชีวิตมากๆ ถ้าทำคลิปแล้วพูดถึงการที่เราอยู่ในวงการมา 10 ปี หนูจะเริ่มเสียงสั่นๆ น้ำตาเริ่มคลอเบ้า เหมือนความสุขมันล้นออกมาเอง สิ่งที่เราได้ยินมาแต่เด็กว่าต้องรีบกอบโกยนะ เดี๋ยวก็ดับแล้ว ดังได้ก็ดับได้ แต่นี่ผ่านมา 10 ปีแล้ว ลูกค้ายังไว้ใจเรา คนดูยังตอบรับเรา ดีใจมากๆ

LIPS: ถ้าให้ประเมินตัวเอง

ฟลุ๊ค: ถามว่าทำไมสปอนเซอร์ยังให้โอกาสเราถึงทุกวันนี้ น่าจะเพราะหนูกับแฟนคลับสนิทกันมาก หนูย้ายจากเฟซบุ๊กมายูทูบ เพราะรู้สึกผิด เลยอยากจริงใจกับคนดู ทุกวันนี้ถ้าหนูหยิบครีมที่ไม่เคยใช้มารีวิว คนจะเมนต์เลย ‘พี่ฟลุ๊คคะ หนูรู้ว่าพี่ไม่ได้ใช้’ ‘ครีมนี้พี่ใช้กระปุกที่ 3 แล้ว’ คือทุกคนเหมือนเป็นเพื่อนหนู เขาจะรู้ เพราะหนูอัปเดตทุกคนตลอด พูดให้ฟังผ่านไอจีบ้าง ฉะนั้นถ้าหยิบครีมใหม่แล้วพูดว่า ‘หนูใช้มาแล้ว’ คนจะไม่เชื่อ เพราะรู้ว่าหนูใช้อะไรอยู่บ้าง ทำให้ลูกค้าจะรักและเชื่อมั่นในความซื่อสัตย์ที่หนูตรงไปตรงมากับคนดู ถ้าหนูหยิบอะไรมาแนะนำ แฟนคลับต้องรู้แล้วว่า หนูใช้จริง

LIPS: สิ่งที่ได้รับจากโลกโซเชียล

ฟลุ๊ค: เงินก่อนเลย แล้วก็ความสะดวกสบายต่างๆ ให้หนูมีชีวิตที่ดีขึ้น อันนี้สำคัญมาก แล้วก็ให้เพื่อน คนที่มาติดตามเป็นเหมือนเพื่อนหนู คอยเตือนสติ ถ้าเราทำอะไรผิดถูก เขาจะบอก ทำให้หนูเติบโตขึ้นได้ เพราะโลกโซเชียล 70-80% เป็นชีวิตหนูเลย หนูใช้เวลาอยู่กับมันเยอะมากๆ ฉะนั้น จะดีจะร้ายหนูจะเสพมาจากโลกออนไลน์เยอะมาก แต่ทั้งหมดก็ทำให้หนูเป็นหนูในทุกวันนี้

“แต่ก่อนเราไม่มีตังค์ซื้อข้าว แล้วบ้านเราขายของชำ เลยหยิบไวตามิลค์มากิน หนูไม่อยากกลับไปเป็นแบบนั้นอีก”

LIPS: คนทั่วไปจะจำกัดการใช้เวลากับโซเชียล แต่เราทั้งอาชีพและชีวิตจริงคือโลกออนไลน์เกือบหมด

ฟลุ๊ค: บางคนบอกว่า เป็นคนดังต้องแยกชีวิตส่วนตัวออกจากงาน แต่หนูคิดว่าตัวเองอยู่กับมันได้ ไม่เคยรู้สึกว่าการอยู่โลกโซเชียลต้องแลกอะไรเพื่อได้รับสิ่งที่เราได้มา อาจจะมีแค่การทำงานที่ไม่เป็นเวลา เสียสุขภาพหน่อย เพราะนอนไม่เป็นเวลา แต่ถ้าเรื่องชีวิตส่วนตัว หนูรับมือได้ อย่างถ้าออกไปข้างนอกแล้วมีคนมาขอถ่ายรูป หนูคิดว่าเรามีสิทธิ์พูดหากไม่สะดวก

คนภายนอกอาจมองโลกออนไลน์ว่าน่ากลัว หลอกลวง แต่หนูอยากบอกว่า เหรียญมีสองด้านเสมอ หนูแยกแยะได้ เพราะอยู่มานาน แต่ถ้าน้องๆ ก็ต้องระวัง อะไรที่ไม่ดี เห็นแล้วก็เลื่อนผ่านไป หาสิ่งดีๆ ใส่ชีวิตเรา เดี๋ยวนี้อัลกอริทึมของโซเชียลรู้ว่าเราสนใจหรือชอบอะไร ฉะนั้น ถ้าเราเลื่อนผ่านสิ่งที่ไม่อยากดูบ่อยๆ ก็จะไม่ขึ้นมาให้เห็นอีก

LIPS: เป้าหมายชีวิตที่วางไว้

ฟลุ๊ค: พ่อสอนมาตั้งแต่เด็กว่า ‘อย่าตั้งเป้า’ อาจดูแปลกๆ แต่เพราะพ่อเคยหวังแล้วไม่สำเร็จ มันกลายเป็นสิ่งผิดพลาดในชีวิตเขา เลยไม่อยากให้ลูกเป็นแบบนั้น ชีวิตหนูเลยไม่เคยมีแพลนเลย หนูจะรู้แค่ว่า พรุ่งนี้ต้องทำอะไรบ้าง แล้วก็ทำให้เต็มที่ที่สุด งานเราขี้เกียจได้ไหม ได้ แต่ก็จะกลายเป็นขี้เกียจตลอด เพราะไม่มีใครมาสั่ง เราเป็นนายตัวเอง เราจึงต้องทำเต็มที่ในทุกๆ วัน อย่างซื้อบ้าน หนูก็ไม่เคยคิดวางแผนว่าปีหน้าจะซื้อนะ เพราะถ้าถึงวันที่เราพร้อม ก็จะทำเลย หรือเครื่องสำอางของตัวเอง แบรนด์ Karon Beauty หนูก็ไม่แพลนว่าปลายปีจะออกลิปนะ เสร็จเมื่อไรก็เมื่อนั้น

LIPS: เท่าที่คุยกันมา ยังไม่รู้สึกว่ามีวันไหนที่เหนื่อย ท้อ ถอดใจ หมดหวัง

ฟลุ๊ค: เด็กๆ เคยถามแม่ว่าบ้านเราจนใช่ไหม แม่บอกเราไม่จน หนูก็แย้ง ว่าไม่จนแต่ทำไมเราต้องกินไวตามิลค์แทนข้าวล่ะ แม่บอกคนลำบากกว่าเรามีเยอะแยะ หนูรู้ว่าบ้านเราไม่ค่อยมีตังค์ ที่ต้องกินไวตามิลค์แทนข้าวเพราะเราไม่มีตังค์ซื้อข้าว แล้วบ้านเราขายของชำ เลยหยิบไวตามิลค์มากินได้ หนูไม่อยากกลับไปเป็นแบบนั้นอีก ตอนนี้เรายังมีโอกาสทำได้ ก็อยากทำทุกอย่างให้ดีที่สุด แล้วเป็นสิ่งที่เราชอบด้วย ทำแล้วเลยไม่รู้สึกเหนื่อย

“หนูเริ่มเก็บเอกสารใส่ลิ้นชักเหมือนพ่อกับแม่ และบอกแฟนไว้ว่า ‘ถ้าชั้นเป็นอะไรไป เอาเอกสารในนี้ไปจัดการนะ’”

LIPS: มองชีวิตตัวเองคิดว่าอะไรเป็นจุดเปลี่ยนที่ส่งผลกับชีวิตเรา

ฟลุ๊ค: ช่วงที่พ่อเสีย ท่านเป็นตับแข็ง เสียตอนอายุ 47 หลังจากนั้นเริ่มมีงานรีวิวเข้ามา ทำให้หนูมีเงินดูแลครอบครัวได้ จุดเปลี่ยนอีกอย่างคือตอนเปิดตัวว่าไม่ใช่ผู้ชาย ก็ทำให้มีงานต่อเนื่อง มีชื่อเสียงถึงทุกวันนี้ ล่าสุดเสียแม่ไปเมื่อปีที่แล้ว ทีแรกแม่เป็นสโตรก แขนขาชาไปครึ่งซีก แต่ก็ยังคุยได้ แต่พอกลางคืนแม่อยู่ในไอซียู แล้วหยุดหายใจแต่ปั๊มหัวใจกลับมาได้ และแม่เลือดออกในสมองอีก สุดท้ายแม่เสียโดยที่ไม่ทันได้ร่ำลากัน เป็นการสูญเสียที่ไวมาก

ทุกคนถามหนูว่าผ่านมาได้ยังไง ที่บ้านหนูเราพูดเรื่องความตายกันแทบทุกวัน เพราะเป็นเรื่องธรรมชาติ พ่อบอกเสมอว่า ‘ถ้าพ่อเป็นไรไปให้เปิดลิ้นชักนี้นะ เอกสารทุกอย่างอยู่ในนี้’ ลิ้นชักแรกของพ่อ ลิ้นชักสองของแม่ แล้วแม่ก็บอก ‘จำได้ใช่ไหม เก๊ะนี้นะ ถ้าแม่เป็นไร’ พอถึงเวลานั้นจริงๆ ลิ้นชักที่เราเห็นทุกวันแต่ไม่เคยเปิดดู แม่เขียนไว้หมดว่าต้องทำอะไร ติดต่อใคร เอกสารเตรียมไว้ครบ ภายในครึ่งวันหนูจัดการทุกอย่างเสร็จหมด

เมื่อก่อนเคยบ่นแม่ว่าจะพูดเรื่องตายทำไมทุกวัน ตอนนี้แม่เสียแล้ว หนูเริ่มเก็บเอกสารใส่ลิ้นชักเหมือนพ่อกับแม่ และบอกแฟนไว้ว่า ‘ถ้าชั้นเป็นอะไรไป เอาเอกสารในนี้ไปจัดการนะ’ หลายคนไม่รู้คิดว่าตายแล้วก็จบ แต่บอกเลยว่า การตายใช้เอกสารเดินเรื่องเยอะแยะไปหมด ฉะนั้นทำแบบนี้จบเลย

ความตายเลยอาจเป็นเรื่องเดียวที่ฟลุ๊คยอมวางแผนล่วงหน้า แต่ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง เป็นการทำเพื่อคนที่เรารักและรักเขาต่างหาก

Words: Rattikarn Hana
Photos: Somkiat Kangsdalwirun
Style: Anansit Karnnongyai
Makeup: Supichaya J.
Hair: Armaladyy A.
เครื่องแต่งกาย: Mugler X H&M

Related Articles

เว็บไซต์ของเราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้ เราได้อธิบายความหมายและวิธีการใช้คุกกี้ของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถเข้าใจแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือการเปิดเผย รวมถึงทางเลือกในการใช้คุกกี้ของเรา อ่านเพิ่มเติม