Search
Close this search box.
Search
Close this search box.
HOME / Interview / People

Reborn – นิ้ง-ชัญญา แม็คคลอรี่ย์

ชีวิตที่เหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้งของผู้สวมบทบาท “ยูริ” ในเด็กใหม่ซีซั่น 2
Interview / People

ในวัย 27 ปี นิ้ง-ชัญญา แม็คคลอรี่ย์ นักแสดงสาวลุคเท่ผู้เคยผ่านเส้นขีดแบ่งระหว่างความเป็นความตายมาแล้ว เมื่อครั้งเธอเอาชนะโรคร้ายมาได้ และได้กลับมาสวมบทบาทใหม่ที่หลายคนจับตามองในซีรีส์เรื่องดัง “เด็กใหม่ ซีซั่น 2” กับบทบาทยูริ หญิงสาวที่ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ พร้อมกับแรงขับเคลื่อนภายในที่รุนแรงชวนขวัญผวา

     วันนี้เราจะมาทำความรู้จักจุดกำเนิดของนิ้ง-ชัญญา ก่อนวันที่จะได้ชีวิตใหม่กลับคืนมาอีกครั้ง และก่อนจะได้จุติเป็น “ยูริ” คาแร็กเตอร์ที่เป็นที่กล่าวขวัญถึงนับตั้งแต่ซีรีส์เด็กใหม่ซีซั่น 2 เริ่มออนแอร์ทาง Netflix

     เราเริ่มต้นย้อนเวลาไปยังช่วงวัยหัวเลี้ยวหัวต่อในรั้วโรงเรียนมัธยมของเธอก่อน ก่อนหน้านี้พอจะทราบมาว่า เธอเป็นสาวแสบซ่าไม่เบา ซึ่งคำตอบของเธอนั้นก็ต้องบอกว่า ดีกรีความซ่าของเธอแรงเกินคาด

     “สมัยมัธยมนิ้งแสบมากถึงมากที่สุด สมัยนั้นนิ้งมีแต่เพื่อนผู้ชาย เราเรียนอยู่โรงเรียนบดินทร์เดชา แต่สนิทกับพวกเพื่อนโรงเรียนสวนกุหลาบ และโรงเรียนวัดสุทธิฯ เป็นเด็กแก๊งสยามสแควร์ Red Zone  ประจำอยู่แถวสกาล่า สยามฯ ซอย 5 แล้วก็ตึกสยามกิตต์ ส่วนใหญ่นิ้งจะอยู่สยามกิตติ์ ตอนนั้นทุกคนจะมีชื่อแก๊งต่อท้าย แล้วมียุคหนึ่งถึงกับพกมีดอีโต้ไปโรงเรียนด้วยนะคะ”

     เธอเล่าว่า วีรกรรมแสบสันต์ของเธอในวัยนั้น ให้เล่าทั้งวันคงไม่จบ แต่ถ้าให้ยกตัวอย่างสักเรื่องสองเรื่องคงต้องเป็นเรื่องนี้

     “แสบสุดก็น่าจะเป็นต่อยกับคนที่อยู่โรงเรียนบดินทร์ฯ  2 ที่ป้ายรถเมล์วิสุทธานี บางกะปิ แล้วช็อตที่ทุกคนจับแยกเราดันโดนเขาถีบสุดท้ายเข้าขมับบวมเป็นลูกมะนาวเลย”

     ส่วนเรื่องผิดระเบียบโรงเรียนเป็นเรื่องธรรมดาสามัญสำหรับเด็กหญิงชัญญา เธอเคยแหกกฎมาแล้วทั้ง undercut ไถผมเป็นลวดลายต่างๆ ไปจนถึงย้อมผมสีแดงไปสอบ GAT-PAT แบบไม่แคร์โลก เรียกได้ว่า เข้า-ออก ห้องฝ่ายปกครองจนสนิทกับคุณครูฝ่ายปกครองไปเลยทีเดียว แต่จะว่าไปการเดินนอกกรอบของเธอก็เป็นเพียงการตั้งคำถามของเด็กที่ต้องการคำอธิบายที่สมเหตุสมผล
     “ตอนนั้นเราก็แค่ไม่ได้คำตอบว่าทำไมเราถึงทำไม่ได้ล่ะ เราไม่เข้าใจ พอไม่เข้าใจแล้วก็ไม่อยากทำ แต่ถ้าให้เหตุผลที่เราฟังแล้วเรารู้สึกว่าสิ่งนี้ยอมรับได้ เราก็ยอม แต่สุดท้ายแล้วจะทำอะไรก็ต้องไม่เดือดร้อนคนอื่น”

     นอกจากความขบถตามประสาวัยรุ่นแล้ว เราเชื่อว่า สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากในชีวิตวัยรุ่นของเธอก็คือ “เพื่อน” หลังจากเคยเป็นเด็กรักเพื่อนที่ไปไหนมาไหนเป็นแก๊งก๊วน สุดท้ายแล้วเธอบอกว่า เพื่อนที่นับเป็นเพื่อนสนิทจริงๆ ทุกวันนี้มีอยู่ไม่กี่คน
     “แปลกตรงที่เพื่อนสมัยม.ปลายเหลือแค่ไม่กี่คน แล้วถ้าพูดถึงเพื่อนสนิทนิ้งจะคิดถึง “เตย”
     เตยเป็นเพื่อนคนเดียวในมหาวิทยาลัยที่นิ้งรู้สึกว่า เขาเป็นเพื่อนเราจริงๆ เขาเป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเรามากเลย ไม่ว่านิ้งจะรู้สึกท้อแท้ หรือล้มเหลวขนาดไหน ทุกวันนี้นิ้งก็ยังรู้สึกว่า นิ้งห่วยแตกอยู่ทุกวัน ซึ่งเตยจะเป็นคนที่บอกเราเสมอว่า เราเก่งมากแล้ว เขาเชื่อในตัวเรา แล้วก็ให้กำลังใจเราตลอด เขาเป็นคนที่นิ้งกล้าที่จะพูดสิ่งที่มันแย่ไปมากๆ แล้วเขาก็จะไม่ตัดสินนิ้งจากสิ่งนั้น บางทีก็แค่ทักไปทิ้งไว้ หรือโทรไปหาเขาแล้วร้องไห้ เราก็รู้สึกดีขึ้นแล้ว อย่างน้อยมันก็มีคนหนึ่งที่เรารู้ว่า เขายังเชื่อในตัวเราอยู่ ในวันที่เราไม่เชื่อในตัวเองเราก็คงต้องการเพื่อนสักคนหนึ่งน่ะค่ะ ที่ทำให้เราเห็นว่า เราทำอะไรได้บ้าง”

     แน่นอนว่า ในวันที่เธอต้องก้าวข้ามผ่านอุปสรรคครั้งใหญ่ในชีวิต เพื่อนสนิทของเธอก็อยู่เคียงข้างเสมอมา
     “ตอนที่รู้ผลว่าเป็นเนื้องอกในสมอง เตยก็อยู่ด้วยค่ะ ตอนนั้นอาการเราแย่มาก เวลาเดินพอเท้าแตะลงพื้นปุ๊บ รู้สึกเหมือนมีคนบีบสมองตลอดเวลา ปกตินิ้งไม่ชอบไปโรงพยาบาล แต่ตอนนั้นมีงานจองไว้ล่วงหน้าว่า ต้องไปออกบูธกาแฟ เลยเริ่มรู้สึกว่า อาการปวดหัวเริ่มเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตแล้ว เลยตัดสินใจไปโรงพยาบาล พอไปถึงตอนคุยกับคุณหมอก็ยังร้องไห้อยู่เลย เพราะปวดหัวมาก สุดท้ายแล้วเขาก็อยากให้สแกนสมองดูดีกว่า ก็ไปทำ MRI เตยก็มาผลัดเวรก็มานั่งเฝ้าด้วยกัน
     …ตอนรอผลตรวจเรากำลังจะสั่ง Grab กินกัน หมอก็เข้ามาแจ้งผล นิ้งมองหน้าเพื่อนแล้วก็ร้องไห้อยู่ประมาณ 10 นาที แล้วก็แบบ “เฮ้ย…เรามาสั่ง Grab กันต่อก่อน” นิ้งไม่ชอบที่จะทำให้ใครรู้สึกอึดอัดไงคะ”

     เธอยิ้มให้เราอย่างเข้มแข็ง พร้อมเล่าประสบการณ์ในครั้งนั้นต่อไปอย่างละเอียด
     “หลังจากเป็นเนื้องอก นิ้งรับบทคนที่ไม่ป่วยเป็นอะไรเลยอยู่ตลอดเวลา เพราะเคยมีเด็กวิ่งมาหานิ้งแล้วก็มองหน้านิ้งแล้วน้ำตาคลอเลยนะ เขาถามเราว่า  “พี่นิ้งมันไม่จริงใช่ไหม”  น้องเขาดูเศร้ากว่าเราอีกน่ะ ซึ่งเราก็เป็นจริงแหละ แต่ว่าไม่เป็นไร เราโอเคมาก  เราก็จะเป็นคนที่คอย heal คนอื่นแทน เราไม่ได้คิดมากกับเรื่องนี้ขนาดนั้น หมายถึงว่า ก็มันเป็นไปแล้วก็แก้ไป”

     ฟังดูเหมือนเป็นความคิดง่ายๆ แต่ปฏิบัติจริงได้ยาก แต่เธอก็ทำได้จริง และเหมือนได้เริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งอย่างมีพลังงานบวกมากกว่าเดิม
     “ช่วงนั้นจะได้กินข้าวกับแม่บ่อยมาก อิ่มหนำไปเลยค่ะ ทุกคนพาเราไปกินแต่ของอร่อย เพราะการผ่าตัดมีโอกาสผิดพลาดสูงมาก ถ้าพลาดไปโดนเส้นประสาทเส้นไหน เราอาจจะไม่ฟื้นก็ได้

“เราพยายามทำทุกอย่างที่ทำได้ในตอนนั้น ถ้าเป็นอะไรขึ้นมาเราจะได้ไม่เสียใจ อยากซื้อวัตถุดิบไปทำอาหารให้พ่อแม่กิน อยากขอโทษใคร อยากบอกรักใคร นิ้งทำทุกอย่างเลย เพื่อที่จะไม่ติดใจอะไรแล้ว ถ้าถึงเวลาก็ไปสู่ภพภูมิที่ดี แต่ถ้ายังไม่ถึงเวลาก็ขอให้กลับมามีชีวิตบนโลกมหัศจรรย์นี้ต่อไป”

     อันนี้คือความคิดสุดท้ายก่อนที่จะสลบไปหลังจากดมยา แต่จริงๆ แล้วการอยู่อาจจะโหดร้ายกว่าการจากไปก็ได้นะคะ”
     เธอถ่ายทอดเรื่องราวแบบคนเข้าใจโลก แต่สุดท้ายเบื้องบนหรืออะไรก็ตามแต่อนุมัติให้เธอใช้ชีวิตอยู่ต่อ และเราก็ได้เห็นเธอโลดแล่นในบทบาท “ยูริ” บทบาทที่เธอแคสต์ผ่านหลังผ่าตัดสมองได้แค่ 11 วัน และในวันนี้ที่เธอดูจะตื่นเต้นกับบทบาทนี้มาก บทบาทของเด็กสาวที่เกิดใหม่ในบทบาทใหม่ที่เปลี่ยนจากเหยื่อเป็นผู้พิพากษาที่ไม่มีคำว่า “ปราณี” อยากลองเป็นคนร้ายๆ ดูบ้าง เธอบอกกับเราอย่างนั้น

     “คาแร็กเตอร์นี้มันมีความสุดของมันอยู่ค่ะ เราก็คิดว่าเราก็อยากจะทดลองเป็นคนร้ายๆ ดูบ้าง ซึ่งเราอาจจะไกลตัวนี้มากเลยใน mindset ของเรา เป็นต้นว่า วิธีการจัดการของนิ้งกับยูริอาจจะต่างกัน ถ้าสมมติว่ามีปัญหา ยูริอาจจะฆ่าเลย แต่เราอาจจะจำคุกตลอดชีวิต เราเชื่อนะว่าคนที่ทำความผิดซ้ำๆ หลายครั้ง โดยที่เขาได้โอกาสแล้ว เขาจะเปลี่ยนปรับปรุงไม่ได้อีกแล้ว แต่ว่าเราก็ยังคิดว่า เขาก็ชีวิตหนึ่งเลยนะ ในขณะที่ยูริมันไม่สนใจเลย ไม่คิดซับซ้อน ไม่เห็นอกเห็นใจอะไรขนาดนั้น มันเชื่อว่า ปล่อยให้คนเลวมีชีวิตต่อไปในโลกที่เลวร้ายลงทุกวัน ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น เราต้องกำจัดพวกนี้ให้สิ้นซาก คือความเชื่อของมัน ซึ่งไกลกับตัวเราประมาณหนึ่ง แต่ก็นี่แหละค่ะ ความน่าสนใจของมัน”

     ซึ่งแน่นอนว่า คาแร็กเตอร์นี้ถูกหยิบไปเปรียบเทียบกับตัวเอกที่ยืนพื้นมาตั้งแต่ซีซั่น 1 อย่าง “แนนโน๊ะ” ลูกสาวซาตานที่หลายคนยังจดจำเสียงหัวเราะชวนหลอนของเธอได้
     “ยูริต่างกับแนนโน๊ะค่ะ อย่างแรกเลยคือ ยูริเป็นเหยื่อจริงๆ ค่ะ ส่วนแนนโน๊ะไม่เคยเป็นเหยื่อจริง ๆ มาก่อน เขาแค่แกล้งทำตัวเป็นเหยื่อค่ะ แต่ยูริเคยเป็นเหยื่อจริงๆ และกำเนิดขึ้นมาจากตรงนั้น

“คนที่ไม่เคยเป็นเหยื่อจริงๆ มาก่อน ไม่เข้าใจความรู้สึกของคนที่เคยเป็นเหยื่อหรอก แต่ยูริเคยเจ็บปวด และ รู้ว่าคนที่โดนกระทำเป็นอย่างไร”

     …วิธีการจัดการของทั้งสองก็แตกต่างกันค่ะ อย่างแนนโน๊ะเขาจะอ้อมค้อม ลีลาชักช้าลูกเล่นเยอะมากมาย ยูริจะไม่ค่ะ เด็ดขาด จบเลย อันนี้ก็จะเป็นเรื่องของความแตกต่างอย่างชัดเจน”

     เราคงตัดสินไม่ได้ว่า ระหว่างแนนโน๊ะกับยูริใครร้ายกว่าใคร หรือการตัดสินใจของใครถูกหรือผิด เราให้ความเห็น และเธอเองก็พยักหน้าเห็นด้วย
     “จริงๆ แล้วมันอาจจะตัดสินไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ยิ่งถ้าเรารู้แบ็คกราวด์ของแต่ละคน เขาอาจจะมีความทรงจำจากวัยเด็ก การโดนทำร้ายในวัยเด็ก หรืออะไรก็ตาม มันลึกเกินกว่าที่เราจะสามารถมองแล้วก็ตัดสินใจเขาได้เลย เราอาจจะต้องมี Empathy กันมากๆ ค่ะในการพูดคุยกับคนอื่น หรือว่าเห็นอกเห็นใจคนอื่น มากกว่าจะมานั่งตัดสินใจ หรือว่าโทษกันไป โทษกันมา มันก็อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้โลกใบนี้น่าอยู่ขึ้นนะคะ”

     ส่วนบทบาทในอนาคตที่เธอมองภาพเห็นตัวเองในชีวิตจริงนั้น เธอยอมรับว่า ฝันเอาไว้ไกล แต่เชื่อว่า คงไปถึงจุดหมายสักวันหนึ่ง
     “ตอนนี้ด้วยความที่ไม่แน่นอนของอะไรทั้งสิ้นนะคะ ภาพที่นิ้งเห็นตัวเองในตอนนี้อาจจะเป็นแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่มีงานทำน่ะค่ะ แล้วก็มีความสุขในทุกวัน เราอยากจะตื่นขึ้นมาอย่างสดใส แล้วก็มีพลังในการทำสิ่งนั้นไปเรื่อยๆ แต่ว่าถ้าเป็นลึกๆ ในใจเลยนะคะ นิ้งอยากแสดงหนังไทยที่ผ่านเข้ารอบการเสนอชื่อเข้าชิง Oscars ค่ะ อยากมีส่วนร่วมในสิ่งนั้น เพราะนิ้งเชื่อในสิ่งนั้นค่ะ”

     แววตาของเธอส่องประกายวิบวับอย่างมีความหวัง ก่อนจบบทสนทนาที่ดูเหมือนยังมีหลายเรื่องที่อยากนั่งคุยไปตลอดวัน เราขอให้นิ้ง-ชัญญา ในฐานะผู้ที่ผ่านวิกฤตทางด้านสุขภาพครั้งใหญ่มาแล้ว ฝากถึงผู้คนที่กำลังวิตกกับวิกฤตโควิด-19 ระลอกใหม่ที่แนวโน้มตัวเลขผู้ป่วยแตะเพดานสูงขึ้นทุกวันไม่แพ้ยอดวิวเด็กใหม่ซีซั่น 2 ใน Netflix
     “นิ้งเป็นคนร่างกายไม่แข็งแรงมากๆ เป็นทั้งธาลัสซีเมีย ไทรอยด์ ผ่าอะดีนอยด์ ผ่าต่อมทอนซิล คือถ้านิ้งเป็นโควิดฯ สิ่งที่นิ้งกลัวคือ นิ้งอาจจะแย่กว่าคนอื่น เพราะนิ้งไม่มีเครื่องกรองในคอ ในจมูกเลย ผ่าออกไปหมดแล้ว มันเลยเป็นเรื่องที่อันตรายมาก อันนี้เรายังไม่พูดถึงเรื่องเนื้องอกนะ มันเลยทำให้นิ้งค่อนข้างดูแลตัวเองประมาณหนึ่ง เพราะนิ้งห่วงว่า ตัวเองจะกลายเป็นภาระของคนอื่น
     …โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอนทั้งนั้น สิ่งที่เราทำได้ คือ ป้องกันก่อนมันจะเกิด ถ้าจะต้องออกไปไหนแน่ ๆ ก็ดูแลตัวเองให้ดี อุปกรณ์ป้องกันพร้อม แต่สุดท้ายแล้ว ถ้ามันจะเกิด มันคือต้องเกิด ถ้านิ้งเป็นเนื้องอกที่เกิดขึ้นในเปอร์เซ็นต์หนึ่งในแสนได้ มันอาจจะเป็นคุณก็ได้ที่เป็นโควิดฯ แต่ว่าการที่เราจะไม่เสียใจในภายหลังคือการที่เราดูแลตัวเองได้ดีแล้ว เพราะฉะนั้น ไม่มีอะไรแน่นอน ป้องกันไว้ดีกว่าค่ะ”

Photography : Somkiat K.
เสื้อผ้า : Off-White
รองเท้า : Jimmy Choo

Related Articles

เว็บไซต์ของเราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้ เราได้อธิบายความหมายและวิธีการใช้คุกกี้ของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถเข้าใจแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือการเปิดเผย รวมถึงทางเลือกในการใช้คุกกี้ของเรา อ่านเพิ่มเติม